Adidas เข้าซื้อที่ดินในเกม The Sandbox

Adidas เข้าซื้อที่ดินในเกม The Sandbox

หลังจากที่ทางบริษัท Meta เริ่มพูดถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง Metaverse ดูเหมือนว่าหลาย ๆ บริษัทก็เริ่มจะมีการขยับเขยื้อนมากขึ้นเพื่อเข้าสู่เทคโนโลยี Metaverse มากขึ้น โดยในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดังกล่าวได้อยู่ในรูปแบบของเกมที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Play to Earn

ภาพ Screenshot จาก TheSandboxGame

The Sandbox ถือว่าเป็น Play to Earn ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกของเทคโนโลยี Metaverse ในตอนนี้เลยก็ว่าได้โดยภายในเกมนั้นเปิดให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ รวมไปถึงสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ และซื้อที่ดินเพื่อใช้งานในอนาคต ซึ่งระบบการซื้อที่ดินนี่แหละที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวภายในเกมนั้นมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ รายเข้ามาจับจองที่ดินเพื่อใช้งานในอนาคต หนึ่งในนั้นก็คือบริษัท Adidas

ภาพจาก Wallpaperaccess

Adidas เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านแฟชั่นของโลกที่เป็นบริษัทล่าสุดที่ได้เข้ามาซื้อที่ดินในเกม The Sandbox โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดการเข้าซื้อดังกล่าวทำให้มูลค่าของเหรียญ Sand ซึ่งเป็นเหรียญของเกมดังกล่าวมีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเลยทีเดียวโดยนับตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันราคาเหรียญดังกล่าวมีราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 700 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณเลยทีเดียว ทำให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่คึกคักขึ้นมาอย่างมากและกลายเป็นที่หมายปองของบริษัทดังหลาย ๆ รายในอนาคตอย่างแน่นอน

นอกจาก Adidas แล้วยังมี Atari , The Walking Dead, Binance และบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้ามาซื้อที่ดินดังกล่าว ก็ต้องมาติดตามดูว่าในอนาคต Adidas จะนำที่ดินที่ซื้อไปนี้ไปใช้ในด้านไหนอาจจะเป็นการสร้างห้างสรรพสินค้าเพื่อมาขาย NFT ภายในเกมก็เป็นได้

ภาพ Screenshot จาก TheSandboxGame

นอกจาก The Sandbox แล้ว เกมอื่น ๆ ที่เป็นแนวเทคโนโลยี Metaverse ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นเดียวกันหลาย ๆ เกมหลาย ๆ เหรียญที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับความนิยมสูงขึ้นและมีราคาสูงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว และด้วยความนิยมที่มีเพิ่มขึ้นอาจจะเป็นไปได้ว่าในอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน เงินดิจิตอล เทคโนโลยี Metaverse รวมไปถึงเกมในรูปแบบ Play to Earn อื่น ๆ อาจจะได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นเดียว

ปีนี้เป็นปีที่เราได้เห็นเทคโนโลยีทางด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่มาตลอดทั้งปีและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในอนาคตได้รับการยอมรับมากขึ้นจากที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วในปัจจุบัน สิ่งที่น่าติดตามเลยก็คือในอนาคตระบบเศรษฐกิจใหม่นี้จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายขนาดไหนช่องทางการหาเงินจะมีเพิ่มขึ้นมากมายขนาดไหน หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างอาจจะเกินการจินตนาการของพวกเราก็เป็นได้

ข้อมูลจาก The Matter

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ฟีเจอร์ใหม่ Facebook, Instagram

Facebook

ฟีเจอร์ใหม่ Facebook, Instagram สร้าง Avatar เป็นของตัวเอง

หลังจากที่ Facebook ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Meta ก็ได้เริ่มมีการขยับเขยื้อนในเรื่องของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงมากขึ้นโดยเริ่มจากเทคโนโลยี VR และ AR และล่าสุดก็ได้มีการนำเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงหรือ Metaverse เข้ามาสู่แอปพลิเคชันอย่าง, Facebook, Instagram และ Messenger

ซึ่งเทคโนโลยี Metaverse ที่นำมาใช้แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ของ Meta เปิดให้ผู้ใช้งานได้สร้าง Avatar เป็นของตัวเอง โดยฟีเจอร์ดังกล่าวได้ถูกเพิ่มใน Oculus Quest 2 เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ว่าสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram และ Messenger นอกจากจะให้ผู้ใช้งานสร้าง Avatar เพื่อมาเป็นโปรไฟล์ ยังสามารถนำไปใช้เป็นสติ๊กเกอร์ได้อีกด้วย ซึ่งฟีเจอร์การสร้าง Avatar ก็มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันกับ Memoji ของ Apple ที่สามารถใช้ในการส่งข้อความผ่านแอปต่าง ๆ ได้

การประกาศอัปเดตฟีเจอร์การสร้าง Avatar เป็นการประกาศพร้อมกับการอัปเดตธีม Super Bowl การแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอล NFL ของประเทศอเมริกานั้นเอง ซึ่งจะมีเสื้อ T shirt ของทีม Bengals หรือ Rams ที่แจกฟรีให้ตัวละครเสมือนจริงสามารถเลือกไปใส่ได้ แต่ว่าเสื้อ T shirt ดังกล่าวนี้จะสามารถใส่ได้จนถึงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เพียงเท่านั้น 

การสร้างตัวละครเสมือนจริงจะเริ่มมีการทดลองใช้ในประเทศแถบอเมริกาเหนือไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา และ ประเทศเม็กซิโก หลังจากนั้นก็จะขยายพื้นที่การใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น 

ซึ่งการสร้างตัวละครโลกเสมือนจริงนี้ได้ถูกนำมาเป็นฟีเจอร์ใน Facebook ก่อนหน้านี้แล้วแต่การทําอนิเมชั่นในรูปแบบภาพ 3 มิติถือว่าเป็นเรื่องใหม่และฟีเจอร์ดังกล่าวก็จะมีการอัปเดตลงบน Instagram เป็นครั้งแรก ซึ่งการสร้างตัวละครแบบนี้ สามารถสร้างได้เพียงแค่ 1 ตัวต่อ 1 แอป เพียงเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าเราอาจจะมีตัวละครใน Facebook เป็นตัวนึง ใน Instagram เป็นอีกตัวหนึ่งและใน Messenger เป็นอีกตัวหนึ่ง แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสร้างตัวละครเยอะก็สามารถเชื่อมต่อตัวละครจากแอปหนึ่งไปสู่แอปหนึ่งได้เลย

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการอัปเดตของบริษัท Meta ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง Metaverse ในอนาคตอาจจะมีการสร้างไอเทมต่าง ๆ ในรูปแบบดิจิตอลให้ผู้ใช้งาน Avatar ได้ซื้อเพื่อมาสวมใส่ให้กับตัวละครที่ตัวเองได้สร้างขึ้น หรือว่าขายอุปกรณ์สวมใส่ที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยมาแต่ว่าในความคิดของผู้เขียนอาจเป็นไปได้ว่าอุปกรณ์สวมใส่ของ Avatar ที่จะมีการซื้อขายกันนั้นอาจจะเป็น NFTs เพราะ Facebook และ Instagram กำลังจะพัฒนาตลาด NFTs ของตัวเอง

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook ลงทุน Metaverse

Facebook

Facebook ลงทุน Metaverse จำนวน 50 ล้านดอลลาร์

ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมายและทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้นรวมไปถึงสามารถสร้างโลกเสมือนจริงให้กับพวกเราได้ด้วยซึ่งในตอนนี้มันก็คือสื่อสังคมออนไลน์นั่นเอง แต่ในอนาคตพวกเราคงจะได้เห็นอะไรที่มากไปกว่าโลกเสมือนจริงที่อยู่ในหน้าจอแบบเป็นรูปเสมือนจริงที่เราสามารถเห็นได้ในรูปแบบ 3 มิติและสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจนซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่า Metaverse นั่นเอง และทาง Facebook นั้นผู้ที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี AR และ VR ก็คือความเอาจริงเอาจังที่จะศึกษาและทำให้ Metaverse นั้นเป็นจริงขึ้นมาในอนาคต

โลกเสมือนจริงที่สามารถพาผู้คนที่อยู่คนละพื้นที่ให้มาอยู่พื้นที่เดียวกันได้เพื่อที่จะออกไปค้นหาและค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในโลกเสมือนจริงซึ่งในปัจจุบันนี้มันก็คือเทคโนโลยี VR นั่นเองรวมไปถึงเทคโนโลยี AR ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งทาง Facebook นั้นเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าวนี้มากและได้ลงทุนไปเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียวในการพัฒนาและศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม XR ทุนในการทำวิจัย รวมถึงมีการร่วมมือกับ Organization อื่น ๆ สถาบันต่าง ๆ รวมไปถึงรัฐบาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เป็นความจริงโดยเทคโนโลยีนี้จะไม่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้อย่างแน่นอนแต่อาจจะต้องใช้เวลามาก 10 ถึง 15 ปีเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าโลกเสมือนจริงที่ Facebook ต้องการที่จะสร้างขึ้นมานั้นยังคงมีปัญหาอีกมากมายที่ยังไม่ได้เรียนรู้หรือจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล, ความปลอดภัย, การเข้าถึง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจมากเลยว่าในอนาคตนั้นจะสามารถต่อยอดเทคโนโลยีให้กลายเป็นโลกเสมือนจริงหรือ Metaverse ได้ดีมากน้อยเพียงใด แต่การมีเทคโนโลยีนี้เข้ามาคงทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ มากขึ้นอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คงจะเป็นการที่มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำให้ผู้คนนั้นเสพติดง่ายและอาจจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนจริงมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงดังนั้นการจัดการเวลาให้เหมาะสมและอยู่กับโลกของความเป็นจริงบ้างก็อาจจะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากเลยถ้าหากว่า  Metaverse นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ถึงแม้ว่าเราจะมีความสุขบนโลกเสมือนจริงมากเพียงไหนแต่ก็ต้องไม่ลืมไปว่าโลกแห่งความจริงเราก็ต้องมีความสุขมากด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook วางแผนเปลี่ยนชื่อบริษัท

Facebook

Facebook บริษัทเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังมีแผนการที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัท

Facebook บริษัทเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังมีแผนการที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัทโดย Mark Zuckerberg มีแผนการที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนชื่อของบริษัทในงานประชุม company’s annual Connect conference เป็นงานประชุมประจำปีของบริษัทโดยจะจัดงานขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคมนี้

ซึ่งชื่อของบริษัทใหม่ก็คงจะถูกเปิดเผยมาเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน การเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่จะทำให้ Facebook สื่อสังคมออนไลน์นั้นกลายเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทแม่เช่นเดียวกับ WhatsApp, Instagram และอื่นๆ ซึ่งทาง Facebook มีแผนการที่จะเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ Metaverse ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ในปัจจุบันนี้บริษัท Facebook มีพนักงานที่อยู่ในฝ่ายการพัฒนาฮาร์ดแวร์เช่น แว่นตา AR เป็นจำนวนมากกว่า 10,000 คน โดยอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ Mark Zuckerberg ตั้งใจที่จะเปลี่ยนบริษัทสื่อสังคมออนไลน์ให้กลายเป็นบริษัท Metaverse

โดยบริษัท Facebook ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีแรกที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อโดยในปี 2015 บริษัท Google ได้มีการจัดระเบียบบริษัทใหม่เป็น Alphabet โดยให้บริษัท Alphabet เป็นบริษัทแม่ของ Google ซึ่งนอกจากจะทำธุรกิจเกี่ยวกับ search engine แล้วยังทำธุรกิจทางด้านรถยนต์ไร้คนขับและ health care อีกด้วย หรือแม้แต่ Snapchat แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดัง ก็ได้มีการรีแบรนด์เป็น Snap Inc. แล้วเปลี่ยนเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูป ในปี 2016

ซึ่งทาง Mark Zuckerberg ผู้ที่เป็น CEO ของบริษัทก็ได้คอมเม้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า Facebook กำลังวางรากฐาน เทคโนโลยีเจนเนอเรชั่นใหม่ และได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี Metaverse มาได้สักพักหนึ่งแล้ว และก็ได้มีการทดลองใช้ไปบ้างแล้วด้วยเช่นเดียวกัน แถมยังมีการร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ในการสร้างเทคโนโลยี AR และ VR อีกด้วย และดูเหมือนว่าทาง Facebook นั้นก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ได้มีการจัดตั้งทีม Metaverse แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Facebook ก็ได้มีการประกาศจ้างพนักงานจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คนเพื่อมาพัฒนา Metaverse ในทวีปยุโรป และเขายังบอกอีกด้วยว่า Metaverse จะเป็นส่วนสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ตและโมบายอินเทอร์เน็ตในภายภาคหน้า และยังเป็นส่วนที่สำคัญต่อไปของบริษัท

ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของ Facebook บริษัทกำลังเผชิญกับปัญหามากมายซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในสังคมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวในตอนนี้ Facebook ก็มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไปพร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่สิ่งที่น่าติดตามในตอนนี้ก็คือในสัปดาห์ข้างหน้าบริษัท Facebook จะมีนามใหม่ของบริษัทเป็นชื่อว่าอะไรกัน และเทคโนโลยี Metaverse ในอนาคตจะมีรูปแบบเป็นแบบไหน

ภาพจาก Wallpaperaccess

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook