IOS 16.4 Beta 3 มีอะไรน่าสนใจบ้าง

IOS 16.4 Beta 3 มีอะไรน่าสนใจบ้าง

สำหรับคนที่ใช้โทรศัพท์ iPhone ในตอนนี้ระบบปฏิบัติการล่าสุดก็คือ iOS 16.3.1 ซึ่งได้มีการปล่อยให้อัปเดตมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่สำหรับระบบปฏิบัติการล่าสุดที่กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนานั้นก็คือระบบปฏิบัติการ iOS 16.4 Beta 3 ซึ่งในปัจจุบันนี้เปิดให้มีการทำ Public Tester

บริษัท Apple ได้มีการปล่อยระบบปฏิบัติการรุ่น iOS 16.4 Beta 3 ออกมาให้ทำการทดสอบกันเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเราสามารถตีความได้ว่าในอนาคตอันใกล้ระบบปฏิบัติการ iOS 16.4 จะปล่อยให้ผู้ใช้งาน iPhone ได้อัปเดตกัน ซึ่งในช่วงที่ได้มีการทดสอบอยู่ตอนนี้ก็มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมายปรากฏออกมา มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

ภาพ Wallpaper.com/Gourmet

Apple ID และ Beta Software Update

iOS 16.4 จะอนุญาตให้สามารถใช้ Apple ID อื่นในเครื่องเดียวกันได้ หรือเรียกง่าย ๆ นั่นก็คือการสับเปลี่ยน account ในการใช้งานนั่นเอง

อัปเดต Apple Books

ในระบบปฏิบัติการ iOS 16.4 Beta 2 ได้มีการนำอนเมชั่น page-turn curl กลับมาหลังจากที่นำออกไปในระบบปฏิบัติการ iOS ก่อนหน้านี้ โดยในเวอร์ชั่น iOS 16.4 Beta 3 ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกรูปแบบของอนิเมชั่นได้

อิโมจิใหม่

IOS 16.4 Beta ได้มีการเพิ่มอิโมจิใหม่ให้กับเครื่อง iPhone ทั้งหมด 31 ตัวด้วยกัน

อัปเดต Apple podcast

Apple podcast เป็นอีกหนึ่งแอปที่คนนิยมใช้งานกัน ในการอัปเดตใหม่นี้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงช่องพอตแคสที่ติดตามจากส่วนของ Library ได้เลยและยังสามารถใช้ฟังก์ชัน Up Next เพื่อที่จะฟังพอดแคสต่อ เริ่มต้นตอนใหม่ที่ได้มีการเซฟไว้หรือลบตอนที่ไม่อยากฟังออกไป

แอป Music ที่เปลี่ยนไป

หน้าตาของแอป Music จะไม่เหมือนเดิมโดยได้มีการปรับเปลี่ยนตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ iOS Beta 1 เมื่อผู้ใช้งานเพิ่มเพลงในคิว ก็จะมีภาพ banner ขึ้นอยู่บริเวณด้านล่าง แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ขึ้นมาเต็มหน้าจอ

ภาพ Wallpaper.com/Marshall

คีย์บอร์ด เสียง Siri และ การอัปเดตภาษา

ใน iOS 16.4 Beta 1 ได้มีการเพิ่มภาษาของคีย์บอร์ดเข้าไปซึ่งก็คือ Choctaw และ Chickasaw ในส่วนของเสียง Siri มีการเพิ่มภาษาอารบิกและภาษาฮิบบลู ในส่วนของการอัพเดทของภาษานั้น Apple ได้มีการเพิ่มภาษาเกาหลี ภาษายูเครน ภาษาคุชราต ภาษาปัญจาบ และภาษาอูรดู

การอัปเดตของระบบปฏิบัติการ iOS 16.4 นั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ และก่อนปล่อยตัวเต็มออกมาคงจะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมา อย่างไรก็ตามยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าระบบปฏิบัติการ iOS 16.4 นั้นจะปล่อยมาให้ดาวน์โหลดกันเมื่อใด

ข้อมูลจาก Cnet

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Meta ยกเลิกการทำ NFT บน Facebook และ Instagram

Meta ยกเลิกการทำ NFT บน Facebook และ Instagram

Meta บริษัทของมาร์คซัคเคอร์เบิร์กที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อแผนการสร้าง Metaverse รวมถึงตัวของเขาได้มีการพูดถึงเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น Cryptocurrency และ ผลงาน NFT จนถึงขั้นกลายมาเป็นโปรเจคในการพัฒนาเลยทีเดียว

ภาพ Pixabay/mohamed_hassan

โดยมาร์คซัคเคอร์เบิร์กได้ตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2023 จะเป็น “ปีแห่งประสิทธิภาพ” โดยหลังจากที่มีการปลดคนงานไปกว่า 11,000 ราย ทางบริษัทยุติการจ้างพนักงานเพิ่มและหันมาโฟกัสเกี่ยวกับการตัดสินใจมากขึ้น โดยจะมีการตัดบางส่วนออกไปเพื่อให้การตัดสินใจนั้นรวดเร็วต่อการก้าวหน้าของบริษัท ซึ่งการประกาศการเปลี่ยนแปลงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี NFT แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของบริษัทในตอนนี้จะย้อนแย้งกับคำพูดที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้โดย Meta จะยุติทดสอบการสร้างและการขาย NFT บน Instagram รวมถึงการแชร์ผลงาน NFT บน Instagram และ Facebook

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยทั้งหมดเป็นการประกาศของ Stephane Kasriel หัวหน้าแผนก commerce and fintech โดยเจ้าตัวยังบอกถึงเหตุผลเกี่ยวกับการยุติโปรเจคในคราวนี้ไว้ด้วยว่า ทางบริษัทจะหันมาสนับสนุนครีเอเตอร์และธุรกิจ โดยทางบริษัทต้องการพัฒนาในส่วนที่มันสร้างผลลัพธ์ได้ดีในวงกว้าง ตัวอย่างเช่นการสร้างรายได้และการส่งข้อความในคลิป Reels และการพัฒนาระบบ Meta pay เป็นต้น

การยกเลิกการพัฒนา NFT กลายเป็นอีกหนึ่งโปรเจคเทคโนโลยี Blockchain ที่ทางบริษัท Meta ยกเลิก หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการยกเลิกการพัฒนาเหรียญคริปโต Diem และการพัฒนากระเป๋าเก็บเหรียญ Novi

ภาพ Pixabay/geralt

ถึงแม้ว่าบริษัท Meta จะยุติการพัฒนาเทคโนโลยี NFTแต่ก็มีบริษัทอื่น ๆ การกระโจนเข้าหาตลาด NFT หลายเว็บไซต์ได้มีการโปรโมทผลงานศิลปะตัวอย่างเช่น Reddits และยังมีอีกหลายบริษัทได้มีการขายผลงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็น Starbucks ที่สามารถขายผลงานราคา 100 เหรียญได้กว่า 2,000 ชิ้นงาน

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่าในช่วงนี้เทคโนโลยี Blockchain และผลงาน NFT จะถูกพูดถึงน้อยลงแต่ก็ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนบางกลุ่มอยู่และถ้าหากสกุลเงินคริปโตเคอรี่กลับมาคึกคักอีกครั้งก็คงจะทำให้ตลาดนี้กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Adidas เข้าซื้อที่ดินในเกม The Sandbox

Adidas เข้าซื้อที่ดินในเกม The Sandbox

หลังจากที่ทางบริษัท Meta เริ่มพูดถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง Metaverse ดูเหมือนว่าหลาย ๆ บริษัทก็เริ่มจะมีการขยับเขยื้อนมากขึ้นเพื่อเข้าสู่เทคโนโลยี Metaverse มากขึ้น โดยในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดังกล่าวได้อยู่ในรูปแบบของเกมที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Play to Earn

ภาพ Screenshot จาก TheSandboxGame

The Sandbox ถือว่าเป็น Play to Earn ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกของเทคโนโลยี Metaverse ในตอนนี้เลยก็ว่าได้โดยภายในเกมนั้นเปิดให้ผู้เล่นสามารถเข้าไปสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ รวมไปถึงสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ และซื้อที่ดินเพื่อใช้งานในอนาคต ซึ่งระบบการซื้อที่ดินนี่แหละที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวภายในเกมนั้นมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ รายเข้ามาจับจองที่ดินเพื่อใช้งานในอนาคต หนึ่งในนั้นก็คือบริษัท Adidas

ภาพจาก Wallpaperaccess

Adidas เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านแฟชั่นของโลกที่เป็นบริษัทล่าสุดที่ได้เข้ามาซื้อที่ดินในเกม The Sandbox โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดการเข้าซื้อดังกล่าวทำให้มูลค่าของเหรียญ Sand ซึ่งเป็นเหรียญของเกมดังกล่าวมีราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเลยทีเดียวโดยนับตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันราคาเหรียญดังกล่าวมีราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 700 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณเลยทีเดียว ทำให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่คึกคักขึ้นมาอย่างมากและกลายเป็นที่หมายปองของบริษัทดังหลาย ๆ รายในอนาคตอย่างแน่นอน

นอกจาก Adidas แล้วยังมี Atari , The Walking Dead, Binance และบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้ามาซื้อที่ดินดังกล่าว ก็ต้องมาติดตามดูว่าในอนาคต Adidas จะนำที่ดินที่ซื้อไปนี้ไปใช้ในด้านไหนอาจจะเป็นการสร้างห้างสรรพสินค้าเพื่อมาขาย NFT ภายในเกมก็เป็นได้

ภาพ Screenshot จาก TheSandboxGame

นอกจาก The Sandbox แล้ว เกมอื่น ๆ ที่เป็นแนวเทคโนโลยี Metaverse ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นเดียวกันหลาย ๆ เกมหลาย ๆ เหรียญที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับความนิยมสูงขึ้นและมีราคาสูงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว และด้วยความนิยมที่มีเพิ่มขึ้นอาจจะเป็นไปได้ว่าในอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน เงินดิจิตอล เทคโนโลยี Metaverse รวมไปถึงเกมในรูปแบบ Play to Earn อื่น ๆ อาจจะได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นเดียว

ปีนี้เป็นปีที่เราได้เห็นเทคโนโลยีทางด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่มาตลอดทั้งปีและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในอนาคตได้รับการยอมรับมากขึ้นจากที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วในปัจจุบัน สิ่งที่น่าติดตามเลยก็คือในอนาคตระบบเศรษฐกิจใหม่นี้จะทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายขนาดไหนช่องทางการหาเงินจะมีเพิ่มขึ้นมากมายขนาดไหน หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างอาจจะเกินการจินตนาการของพวกเราก็เป็นได้

ข้อมูลจาก The Matter

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เว็บขายงาน NFT Opensea มีแอปพลิเคชันแล้ว

เว็บขายงาน NFT Opensea มีแอปพลิเคชันแล้ว

ปีนี้เป็นปีที่ต้องยอมรับว่าเงินดิจิตอลนั้นเข้ามาเปลี่ยนแปลงการลงทุนและการสร้างผลกำไรไปมากมายเลยทีเดียวผู้คนเริ่มเข้ามาทำความรู้จักและเรียนรู้เงินดิจิตอลมากขึ้นและเริ่มต้นทำกำไรจากมันไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนซื้อขายหรือด้วยวิธีอื่นอย่างเช่นการทำ Yield Farming ที่อยู่ในโลกของ DeFi, Play to Earn ที่อยู่ในรูปแบบของ GameFi และที่สำคัญเลยก็คือความสามารถของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เป็นเทคโนโลยีหลักของเงินดิจิตอลนั้นสามารถทำให้เกิดการซื้อขายงานศิลปะหลากหลายรูปแบบที่รู้จักกันในชื่อ NFT นั่นเอง

NFT เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันนี้และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากโดยมีผู้คนมากมายสร้างผลงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ คลิปวิดีโอ หรืออื่น ๆ เพื่อนำไปลงขายซึ่งก็สามารถทำเงินได้ดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีหลากหลายแพลตฟอร์มที่เป็นที่ใช้สำหรับลงผลงานและซื้อผลงาน NFT และหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือ Opensea

ภาพ Screenshot จาก App Store

Opensea เป็นแพลตฟอร์มขาย NFT ที่เปิดให้บริการบนเว็บไซต์เพิ่งเปิดให้ใช้บริการมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้วและล่าสุดก็ได้เปิดตัวมาในรูปแบบแอปพลิเคชัน แต่ว่า Open ฟรีในเวอร์ชัน Mobile ที่เปิดตัวมาบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android นั้นไม่สามารถที่จะทำการซื้อหรือขายผลงานได้โดยลักษณะการทำงานของแอปพลิเคชันนั้นจะเป็นในรูปแบบแกลลอรี่และเป็นที่ใช้ในการแชร์ผลงานมากกว่า ซึ่งรูปร่างหน้าตาและลักษณะของแอปพลิเคชันนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับบนเว็บไซต์เป็นอย่างมาก

ภาพ Screenshot จาก App Store

ซึ่งก็ได้มีการคาดการณ์สาเหตุว่าทำไมแอปพลิเคชัน Opensea นั้นไม่มีการเปิดให้ซื้อแล้ววางขายผลงาน NFT ก็เพราะว่า Opensea แม่อยากจะแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับ Apple หรือ Google ซึ่งการแบ่งรายได้นั้นจะทำให้ผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานนั้นไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่นั่นเอง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการจะซื้อขายผลงาน NFT จะไม่ได้มีการใช้เงิน Fiat แต่จะใช้ Ethereum ในการซื้อขายผลงานซึ่งในปัจจุบันนี้ยังไม่มีระบบการชำระเงินที่รองรับเงินสกุลดังกล่าวนั้นเอง

ภาพ Screenshot จาก App Store

ในตอนนี้ประเทศไทยก็เริ่มเป็นที่นิยมแล้วสำหรับผลงาน NFT มีคนดังในประเทศรวมถึงผู้ที่มีฝีมือมากมายใช้ช่องทางดังกล่าวในการหารายได้เลี้ยงชีพตนเอง และมีช่องทางอะไรช่องทางที่ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนั้นในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียวที่โลกของ NFT จะเติบโตขึ้นอีกมากเลยทีเดียวและคงจะมีผลงานอีกมากมายที่ได้ถูกนำไปวางขาย

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tiktok ขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกอีกครั้ง

Tiktok ขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกอีกครั้ง

ในแต่ละปีมีผู้พัฒนาแอปพลิเคชันออกมามากมายให้เราได้ใช้งานกันแต่การที่จะเป็น Application ที่ได้รับความนิยมและถูกใช้งานกันไปทั่วโลกนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเลยทีเดียวในปัจจุบันนี้ Application ที่โดดเด่นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารรวมถึงดูสื่อบันเทิงต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็น Application

ที่ต้องมีติดโทรศัพท์มือถือไว้เลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Snapchat หรือว่า Tiktok ทุกคนคงจะมีแอปพลิเคชันเหล่านี้อยู่ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าจะมีทุกคนแต่ความนิยมในการใช้งานก็แตกต่างกันออกไปแล้วแต่คนในปีนี้ในช่วงไตรมาสแรก Tiktok ก็อาจจะเป็นหนึ่ง App ยอดนิยมเพราะว่าสามารถทำยอดดาวน์โหลดได้มากที่สุด

ในไตรมาสแรกของปี 2022 แอปTiktok สื่อสังคมออนไลน์แนวคลิปวิดีโอสั้นที่ถูกพัฒนาจากผู้พัฒนาชาวจีนกลายเป็นแอปที่มียอดการดาวน์โหลดสูงสุดแซงหน้า Instagram ของ Meta โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นการรายงานจาก app market intelligence firm Sensor Tower ถึงแม้ว่าจะถูกระงับไม่ให้ใช้งานในประเทศอินเดียก็ตาม Tiktok ก็ยังประสบความสำเร็จในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

โดยในปีนี้ Tiktok มียอดการดาวน์โหลดไปมากกว่า 175 ล้านครั้งแซงหน้า Instagram Facebook และ WhatsApp ที่อยู่ในอันดับที่ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ โดย Instagram มียอดการดาวน์โหลดมากกว่า 150 ล้านครั้งซึ่งมากกว่า Facebook ส่วนทาง WhatsApp นั้นมียอดการดาวน์โหลดอยู่ประมาณ 125 ล้านครั้ง สวนทาง Twitter ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มียอดการดาวน์โหลดน้อยกว่า 50 ล้านครั้ง

การนับจำนวนทั้งหมดนี้เป็นการรวบรวมผ่านทาง App store และ Google Play เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง Tiktok สามารถทำยอดการดาวน์โหลดได้เกิน 70 ล้านค้างไปเป็นครั้งที่ 3 แล้วในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี โดยบริษัทนั้นมีการเติบโตมากกว่า 11% เมื่อเทียบเป็นไตรมาสต่อไตรมาสในทวีปเอเชีย

และจากยอดการดาวน์โหลดครั้งนี้คงแสดงให้เห็นแล้วว่า Tiktok เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลในตลาดอย่างมากเลยทีเดียวแต่หลายคนใช้มันในการสร้างสรรค์คลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่น่าติดตามส่วนบางคนใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางการขายของและอีกหลายคนใช้ในการสอน และก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้ Tiktok ในการสร้างรายได้เพื่อหาเลี้ยงชีพ

ภาพทั้งหมดจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Gadgets360

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ผู้ใช้งาน Apple สามารถตั้งเสียงของ Siri ได้ผู้ใช้งาน Apple สามารถตั้งเสียงของ Siri ได้

ผู้ใช้งาน Apple สามารถตั้งเสียงของ Siri ได้

Apple นั้นมีผลิตภัณฑ์มากมายไม่ว่าจะเป็น iPhone iPod หรือ iPad และอื่น ๆ โดยในเครื่องทุกเครื่องนั้นจะมีตัวช่วยภายในเครื่องที่เรารู้จักกันในชื่อ Siri

โดยตัวของ Siri นั้นจะช่วยให้การทำงานบนผลิตภัณฑ์ของ Apple ทำได้ง่ายมากขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปลายนิ้วของเราสัมผัสกับตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโทรออก การค้นหาข้อมูล การตั้งค่าภายในเครื่อง และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งโดยปกติแล้วเสียงของตัวผู้ช่วยอย่าง Siri นั้นจะเป็นเสียงผู้หญิงและเป็นเสียงที่ตั้งค่าเริ่มต้นของตัวเครื่องทุกเครื่องจากโรงงาน

แต่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นสามารถเลือกเสียงให้กับ Siri ได้แล้ว โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาบริษัท Apple ได้ออกมารายงานว่าโทรศัพท์รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นั้นจะสามารถเลือกเสียงของ Siri ได้ ระหว่างเสียงของผู้ชายและเสียงของผู้หญิง และยังมีสำเนียงให้เลือกถึง 6 สำเนียงเลย แต่ว่าค่าพื้นฐานในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะเป็นเสียงผู้หญิง ส่วนในประเทศอังกฤษนั้นจะเป็นเสียงผู้ชาย นอกจากนี้ทางบริษัท Apple นั้นยังได้เพิ่มเสียงใหม่ให้กับ Siri ถึง 2 เสียงด้วยกัน

โดยการเปลี่ยนแปลงเสียงของ Siri นี้จะนำเข้ามาในระบบปฏิบัติการ iOS 14.5 Beta และยังมีการอัปเดตระบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเทียบระบบสุขภาพแบตเตอรี่รวมไปถึงชุดคำสั่งอื่น ๆ อีกมากมาย โดยตัวระบบ iOS 14.5 นั้นยังอยู่ในขั้นทดลองระบบปฏิบัติการและยังไม่เปิดมาให้ผู้บริโภคได้อัปเดตกัน โดยจะมีการอัปเดตในช่วงหลังของปีนี้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดูจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้นมาสักเท่าไหร่กับการเปลี่ยนแปลงเสียงของผู้ช่วย Siri เนื่องจากบางคนแทบไม่ได้ใช้ตัวของผู้ช่วยนี้เลย แต่สำหรับบางคนก็ใช้ตัวผู้ช่วยของผลิตภัณฑ์จาก Apple เป็นประจำการที่มีอะไรแปลกใหม่เข้ามาก็คงจะทำให้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ที่มีเข้ามาภายในตัวเครื่อง

ในปัจจุบันนี้ระบบผู้ช่วยด้วยเสียงนับว่าเป็นอีกหนึ่งระบบที่ต้องมีอยู่ในเครื่องสมาร์ทโฟนแทบทุกเครื่องเลยก็ว่าได้ แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าเป็นระบบที่ไม่สำคัญมากนักจนบางครั้งไม่ได้ใช้งานมันเลย แต่ในสถานการณ์บางสถานการณ์นั้นมันก็เป็นระบบที่สำคัญมาก ดังนั้นก็ควรที่จะฝึกใช้ระบบผู้ช่วยไว้บ้างนะครับหรืออย่างน้อยศึกษาไว้ก็ดีว่าตัวผู้ช่วยสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่แน่อาจจะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราก็เป็นได้

ข้อมูลจาก CNN, IPhoneMod

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Microsoft จับมือ OpenAI เปิดตัวแชทบอท AI ใน Bing ท้าชน Google

Microsoft จับมือ OpenAI เปิดตัวแชทบอท AI ใน Bing ท้าชน Google

การมาของ ChatGPT ทำให้เทคโนโลยี AI กลายเป็นที่จับตามองในช่วงต้นปีนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ก็เริ่มต้นพัฒนาระบบ AI ของตัวเองขึ้นมา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Google บริษัทเทคโนโลยี Search Engine ก็ได้มีการเปิดตัว Bard AI ที่จะคอยตอบคำถามอย่างเป็นธรรมชาติโดยมีทำงานที่คล้ายกับ ChatGPT แต่ข้อมูลต่างๆ ที่ระบบ AI นั้นประมวลผลจะทันสมัยมากกว่า

ภาพ pngwing , pngegg

ในสัปดาห์นี้ Microsoft ก็ไม่น้อยหน้าเปิดตัว Bing และ Edge รูปแบบใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยคราวนี้ได้เทคโนโลยีของ OpenAI อย่าง Prometheus Model มาใช้ในการพัฒนา โดยทาง Microsoft บอกว่าในปัจจุบันนี้การค้นหาใน Search Engine แบบเก่าจะเจอคำตอบที่ไม่ตรงคำถามมากถึง 50% การใช้ระบบ AI มาช่วยจะทำให้การค้นหาได้คำตอบที่ตรงตรงประเด็นและมีความเป็นกันเอง ผู้ใช้งานสามารถเลือกระดับของภาษาให้กับระบบ AI ได้ เช่นเดียวกันกับ ChatGPT มันสามารถถูกใช้งานในการโพสต์หรือพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ระบบ AI ที่ Microsoft ใส่ไว้ใน Bing จะเข้ามาเสริมจุดเด่นและกลบจุดด้อยของ Search Engine ได้ดังนี้

แหล่งอ้างอิงข้อมูล โดยปกติแล้วการทำงานของ ChatGPT จะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกมาประมวลผลแล้วย่อเป็นคำตอบให้กับผู้ค้นหา แต่สำหรับระบบ AI ของ Microsoft นอกจากจะทำเช่นนั้นแล้ว บางครั้งระบบจะใส่แหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่ค้นหามาให้ด้วย ซึ่งมันเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ Microsoft เมื่อทำการค้นหาด้วยระบบ AI ที่อยู่ใน Bing คำตอบที่ได้จากระบบอาจจะมีโฆษณาติดมาด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ระบบ AI จะแนบลิงก์ถึงบริษัทนำเที่ยวมาให้ผู้ค้นหาได้พิจารณาด้วย

ช่วยแก้ปัญหาของ Bing Bing เป็น Search Engine ที่มีปัญหาเมื่อทำการค้นหาด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ คำตอบที่ได้บางครั้งจะไม่ค่อยตรงประเด็น การมีระบบของ OpenAI อย่าง Large Language Model เข้ามาช่วยเหลือจะทำให้ประสิทธิภาพการค้นหาในภาษาอื่น ๆ มีมากขึ้น

เพิ่มความเป็นปัจจุบันของข้อมูล ระบบ GPT-3.5 เป็น AI ที่อยู่ใน ChatGPT ถูกฝึกให้ค้นหาข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2021 ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ในช่วงปี 2022 จนถึงปัจจุบันจะยังไม่ได้ถูกอัปเดต แต่เมื่อนำมารวมกับ Bing ก็จะได้ข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

ภาพ Wallpaperaccess

อย่างไรก็ตามตอนนี้ระบบ AI ของ Microsoft ที่อยู่ใน Bing และ Edge ยังไม่ได้เปิดใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยมารองรับแค่การค้นหาบางส่วนเท่านั้น ส่วนจะเปิดตัวมาให้ใช้งานจริงเมื่อไหร่ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ในปีนี้เราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีออกใหม่อาจจะเป็นโทรศัพท์, แล็บท็อป และ ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ จะมีระบบ AI เพิ่มเข้าไปด้วยก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้มีความก้าวล้ำนำสมัยมากยิ่งขึ้นอย่างการเปิดตัวแชทบอท AI ใน Bing ท้าชน Google

ข้อมูลจาก Cnet, Driodsans

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tiktok ออกไป สมาชิกรัฐสภาสั่ง Apple และ Google ให้นำแอปออกจากร้านค้า

Tiktok ออกไป สมาชิกรัฐสภาสั่ง Apple และ Google ให้นำแอปออกจากร้านค้า

ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนเป็น 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ในโลกและเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ โดยทั้งสองประเทศมักจะมีประเด็นความขัดแย้งให้ได้ติดตามกันเป็นประจำ หนึ่งในนั้นก็คือปัญหาความมั่นคงระดับชาติจาการใช้งานสังคมออนไลน์

เมื่อสมัยรัฐบาลของโดนัลด์ท รัมป์ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่าง Tiktok ที่ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ByteDance ยักษ์ใหญ่ในประเทศจีน ว่าเป็นแอปพลิเคชันที่อันตรายและอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือลักษณะใบหน้า ถึงแม้ว่าจะมีกระแสต่อต้าน แต่ในรัฐบาลของโจ ไบเดนก็ได้มีการยกเลิกคำสั่งแบน Tiktok และ WeChat ทำให้ชาวอเมริกันยังสามารถใช้งานแอปทั้ง 2 ได้จนถึงปัจจุบันนี้

 ภาพ Pixabay

หลังจากข่าวเงียบหายไป กระแสการต่อต้านก็กลับมา Michael Bennet สมาชิกรัฐสภาสหรัฐอเมริกาพรรคเดโมแครตจากรัฐโคโลราโด ได้มีการเขียนจดหมายถึง Tim Cook ผู้บริหารของ Apple และ Sundar Pichai ผู้บริหารของ Google เพื่อให้นำ Tiktok และ WeChat ออกจากร้านค้า App Store เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีความเคลื่อนไหวของทาง Google และ Apple ออกมา ถึงแม้ตอนนี้จะมีการพยายามให้ระงับการใช้งานแอปพลิเคชันจากจีนทั่วทั้งประเทศแต่ก็ยังทำได้แค่บางพื้นที่ เช่นในรัฐโอไฮโอ, นิว เจอร์ซีย์ มีการสั่งแบนแอป Tiktok จากอุปกรณ์ภายในพื้นที่ของรัฐ ตามมาด้วยรัฐเวอร์จิเนียที่ห้ามใช้งาน Tiktok และ WeChat เมื่อ เมื่อปลายปีที่ผ่านมารัฐจอร์เจียก็มีการสั่งระงับการใช้งานแอปจากจีนด้วยเช่นเดียวกัน

 ภาพ Pixabay

ท่ามกลางความกดดันทางบริษัทผู้พัฒนาก็รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของรัฐบาลในบางรัฐของอเมริกา ซึ่งทางโฆษกของบริษัทก็ชี้แจงว่าทางบริษัทพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาตามแนวทางของกฎระเบียบในแต่ละประเทศ และจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับแพลตฟอร์มในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ Shou Zi Chew เจ้าของ Tiktok จะมีการทำให้การยืนยันในการประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ และแก้ไขประเด็นที่ถูกโจมตี

ถึงแม้ว่าจะไม่กระทบกับผู้ใช้ในประเทศไทย แต่การสูญเสียฐานผู้ใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีประชากรเป็นจำนวนมากนั้น ก็ทำให้ Tiktok เสียรายได้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว สุดท้ายก็คงต้องมาติดตามดูว่าประเทศอเมริกาจะสามารถใช้งานแอปจากจีนได้อีกหรือไม่ แต่ในทางกลับกันตอนนี้ประเทศจีนก็ไม่สามารถใช้ Facebook ได้เช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก Cnet

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

เจาะประเด็น สายชาร์จดูดเงินได้หรือไม่

เจาะประเด็น สายชาร์จดูดเงินได้หรือไม่

ข่าว “สายชาร์จดูดเงิน” กลายเป็นที่สนใจของคนจำนวนมากในประเทศไทย หลังจากได้มีข่าวกระจายออกมาว่า มีผู้ใช้งานโทรศัพท์ Android รายหนึ่งได้สูญเสียเงินจำนวนมากในบัญชีหลังจากที่เสียบสายชาร์จทิ้งไว้ โดยเจ้าตัวบอกว่าเขาไม่ได้ไปทำอะไรกับโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้เลยด้วยซ้ำ ทำให้คนเข้าใจว่าสายชาร์จที่ใช้กับโทรศัพท์สามารถดูดเงินออกจากบัญชีได้ บวกกับเพจ Drama Addict ออกมาโพสต์เกี่ยวกับสายชาร์จดูดเงิน ทำให้คนตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเรื่องสายชาร์จดูดเงินมีความเป็นไปได้แต่ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้น อีกหนึ่งสาเหตุที่มีความเป็นไปได้มากนั่นก็คือการโดนหลอกให้ดาวน์โหลดแอป โดยแฮกเกอร์จะสร้างแอปปลอมขึ้นมาและหลอกให้ผู้ใช้งานโดยทั่วไปดาวน์โหลด โดยการโจมตีดังกล่าวนี้จะมุ่งเป้าไปที่ระบบปฏิบัติการ Android เสียมากกว่าเนื่องจากมีผู้ใช้งานเยอะและง่ายต่อการปลอมแปลงแอป ไม่เหมือนกับระบบ iOS ที่มีระบบความปลอดภัยสูง

ภาพ Pixabay

โดยส่วนใหญ่แอปที่มีการปลอมแปลงนั้นจะเป็นประเภทแอปหาคู่ หลังจากติดตั้งเสร็จ แอปจะขออนุญาตการเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานของผู้พิการ ขออนุญาตถ่ายภาพหน้าจอ และขออนุญาตการเขียนภาพทับบนหน้าจอโทรศัพท์ และถ้าหากเหยื่ออนุญาตทั้งหมดแฮกเกอร์ก็สามารถควบคุมโทรศัพท์ได้โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว ที่สำคัญหลังจากที่ดาวน์โหลดไปแล้วไอคอนของตัวแอป จะไม่แสดงบนหน้าจอมือถือ และอาจจะมีข้อความขึ้นให้เห็นว่ามีข้อผิดพลาดไม่สามารถติดตั้งได้ ทั้งที่จริงมัน เริ่มทำงานแล้ว ที่สำคัญเลยก็คือเหยื่อจะไม่สามารถยกเลิกการทำงาน ลบแอปลอกจากมือถือ รวมไปถึงรีเซตเครื่องได้ เรียกว่าเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับเหยื่อที่โดนหลอกลวงและบุคคลทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องไอที โดยตัวอย่างรายชื่อแอปพลิเคชันปลอมมีดังนี้

  • Bumble 7.18.0
  • Authenticator 7.18.0
  • Flower Dating 7.18.0

ภาพ Pixabay

สำหรับสายชาร์จที่สามารถควบคุมหน้าจอโทรศัพท์ได้นั้น ก็มีอยู่จริงเช่นเดียวกัน แต่ก็มีราคาแพงกว่าสายชาร์จโดยทั่วไปตามท้องตลาด และความสามารถในการทำงานของมันนั้นก็ต้องทำผ่านระบบ WiFi ทำให้ไม่สามารถควบคุมจากระยะไกลได้ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างจากสายชาร์จโดยทั่วไปด้วย โดยสายชาร์จประเภทนี้หลังจากที่เสียบกับโทรศัพท์จะมีการขึ้นข้อความเพื่อให้เหยื่อกดอนุมัติหรือกดตกลง ซึ่งแตกต่างจากสายชาร์จโดยทั่วไปที่หลังจากชาร์จไฟจะไม่ปรากฏข้อความใด ๆ ขึ้นมา

ดังนั้นวิธีการป้องกันให้ไม่เป็นเหยื่อจากแอปปลอม เราก็ไม่ควรดาวน์โหลดแอปที่ไม่ได้มีการรีวิวรวมไปถึงอยู่นอกเหนือจากร้านค้าของระบบนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น Google Play หรือ App Store ที่สำคัญไม่ควรใอนุมัติการเข้าถึงทั้งหมดหลังจากที่ดาวน์โหลดมา ควรอ่านข้อความทุกครั้งก่อนกดตกลง ในส่วนของสายชาร์จนั้นก็ควรใช้สายชาร์จของตนเองหรือสายชาร์จของแท้ที่มากับอุปกรณ์ที่ซื้อ และถ้าหากมีข้อความขึ้นหลังจากเสียบสายชาร์จก็ควรที่จะอ่านข้อความนั้นให้ดีก่อน

สำหรับเพื่อนๆ ที่อ่านแล้วยังไม่ได้เข้าใจมากนักหรืออยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ช่อง 9Arm , Kru1D

ข้อมูลจาก 9Arm , Kru1D

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

TCL NXTWear Air glasses แว่นตาแสดงภาพ TV

TCL NXTWear Air glasses แว่นตาแสดงภาพ TV

TCL บริษัทเทคโนโลยีที่เน้นในเรื่องของการผลิต TV ได้มีการผลิตเทคโนโลยีแว่นตาทีวีขึ้นมา ซึ่งแว่นตาที่ทางบริษัท TCL ได้มีการผลิตขึ้นมานั้นมีชื่อว่า TCL NXTWear Air Glasses ซึ่งได้มีการเปิดตัวภายในงาน CES 2022.

ภาพ Screenshot จาก Cnet Highlights

TCL NXTWear Air Glasses เป็นแว่นตาที่สามารถแสดงภาพผ่านเลนส์ของแว่นได้โดยมันจะเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือหรือ Notebook ผ่านสาย USB-C ซึ่งสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะใช้ในการดูหนัง เล่นเกม หรือว่าทำงาน TCL NXTWear Air glasses เปรียบเสมือนโรงหนังฉบับพกพาเลยก็ว่าได้ โดยหน้าจอแสดงผลเป็นหน้าจอ OLED นิ้วขนาด 140 นิ้ว สามารถเปลี่ยนเลนส์ของแว่นได้ 3 แบบและมีน้ำหนักเพียงแค่ 75 กรัม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าแว่นตา NXTWear รุ่น Original ถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แต่ในเรื่องของการทำงานนั้นยังคงทำงานเหมือนกับ NXTWear รุ่น Original ซึ่ง TCL NXTWear Air glasses จะมีลักษณะคล้ายกับ RayBan Wayfarers

ภาพ Screenshot จาก Cnet Highlights

TCL NXTWear มีอัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 60 Hz ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการซื้อเพื่อไปใช้ในการเล่นเกมที่มีอัตราเฟรมเรตอยู่ที่ 90 เฟรมเรตต่อวินาทีหรือสูงกว่านั้น ซึ่งแว่นตานี้ก็มีลำโพงคู่ด้วยเช่นเดียวกันซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ระหว่างการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือหรือ Notebook และด้วยน้ำหนักที่เบาทำให้แว่นตา TCL NXTWear Air Glasses กลายเป็นแว่นตาที่สามารถใช้ใส่เป็นแฟชั่นได้มากกว่าจะเป็นเทคโนโลยีแว่นตาทั่วไป

ซึ่งเหตุผลที่ทางบริษัท TCL ได้มีการเปิดตัว TCL NXTWear Air Glasses ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่คนจำนวนมากมายจะต้องทำงานอยู่ที่บ้านซึ่งคงจะน่าเบื่อถ้าหากว่าต้องนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานทุกวันและทั้งวัน ซึ่งแว่นตา TCL NXTWear Air Glasses จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำงานให้มีความสนุกมากขึ้นรวมถึงในเรื่องของการเล่นเกมด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นการเกาะติดกระแสแว่นตาอัจฉริยะที่ดูเหมือนว่าในระยะหลังนี้บริษัทเทคโนโลยีกำลังเพ่งเล็งเพื่อพัฒนาการตัวอย่างเช่นบริษัท Meta หรือว่าบริษัท OPPO

ภาพ Screenshot จาก Cnet Highlights

สำหรับในเรื่องของราคาแว่นตา TCL NXTWear Air Glasses ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยมาในงาน CES 2022 รวมถึงวันจัดจำหน่ายด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องของราคาและวันจัดจำหน่ายในช่วง Mobile World Congress ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับแว่นตา NXTWear รุ่น Original ได้มีการวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น และ ประเทศออสเตรเลีย

ข้อมูลจาก Cnet

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook