YouTube แบนคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาปลอม

YouTube

YouTube แบนคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาปลอมเกี่ยวกับวัคซีน

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิดเริ่มแพร่กระจายและทั่วทั้งโลกเริ่มมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดกันแล้ว ซึ่งหลาย ๆ คนก็ได้รับวัคซีนไปเป็นที่เรียบร้อยและอีกหลายๆ คนก็ยังไม่ได้รับวัคซีน เนื่องจากการแพร่กระจายของข้อมูลไม่ทั่วถึงรวมถึงข้อมูลบางข้อมูลยังเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริงอีกด้วยซึ่งในส่วนนี้กำลังอยู่ในช่วงของการแก้ไขและลดจำนวนข้อมูลที่เป็นเท็จให้ได้มากที่สุด

หนึ่งในช่องทางที่ใช้ในการแพร่กระจายของข้อมูลนั้นก็คือสื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือช่องทางอื่น ๆ ก็ตามที ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มที่ได้กล่าวมานั้นก็พยายามที่จะตรวจเช็คข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคโควิดและวัคซีนป้องกันโรคโควิดซึ่งส่วนหนึ่งมาจากคำเรียกร้องของรัฐบาลประเทศอเมริกาที่ต้องการให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนกันให้ได้มากที่สุดแต่ก็ดูเหมือนว่าการที่มีจำนวนข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกมามากมายนั้นทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดและดูเหมือนว่าในตอนนี้นอกจาก Facebook, Twitter แล้ว YouTube ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งทุกอย่างนั้นก็เหมือนดั่งเช่น Facebook และ Twitter ข้อมูลที่ถูกแพร่กระจายออกไปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิดบน YouTube นั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นข้อมูลเท็จ

โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 กันยายน 2564) ทาง YouTube ได้ออกมาประกาศว่า “พวกเขาไม่อนุญาตให้ลงคลิปคลิปวิดีโอที่มีการบอกข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิดที่ได้รับการอนุมัติเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นอันตรายหรือมีประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอ ซึ่งนอกจากจะระงับคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ข้อมูลประเภทดังกล่าวแล้ว ทาง YouTube ก็จะดำเนินการระงับบัญชีผู้ใช้งานที่ทำการเผยแพร่ข้อมูลด้วย ซึ่งทาง YouTube นั้นได้เริ่มดำเนินการเกี่ยวกับการลดจำนวนคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิดตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมาและได้มีการเพิ่มนโยบายใหม่เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคถูกเผยแพร่ไปบนแพลตฟอร์ม

อย่างไรก็ตามทาง YouTube ยังสามารถให้ผู้ใช้งานทำคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการแบ่งปันประสบการณ์การฉีดวัคซีนได้ แต่ไม่อนุญาตให้โปรโมทข้อมูลวัคซีนที่ผิดพลาดเด็ดขาด ซึ่งจากสิ่งที่ YouTube ทำแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ ก็ทำด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุดและไม่กลัวที่จะเดินทางไปฉีดวัคซีน เพราะว่าวัคซีนถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิดลดน้อยลงรวมไปถึงอาการเมื่อติดเชื้อก็จะลดความรุนแรงลงด้วยเช่นเดียวกัน และนอกจากนี้ยังทำให้สื่อสังคมออนไลน์นั้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกด้วย

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

บริษัท Microsoft ยกเลิกแผนเปิดออฟฟิศ

Microsoft

บริษัท Microsoft บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีที่มีศูนย์ใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการยกเลิกแผนการที่จะเปิดออฟฟิศ

ต้องยอมรับว่าถึงแม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนและผู้คนส่วนใหญ่ในบางรัฐก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติแล้วแต่ด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ทั่วไปรวมถึงมีการแพร่ระบาดได้เร็ว ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องกลับมากังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคอีกครั้ง โดยทางรัฐบาลได้ขอให้ทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ นั้นช่วยหยุดแพร่กระจายข่าวปลอมและเปิดเผยความจริงมากยิ่งขึ้นเพื่อเชิญชวนให้คนภายในประเทศนั้นเข้ามาฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่นเดียวกับบริษัทหลาย ๆ บริษัทที่ต้องมีการปรับตัวอีกครั้ง หลังจากที่เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าเริ่มมีการแพร่กระจายมากขึ้น

บริษัท Microsoft บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีที่มีศูนย์ใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการยกเลิกแผนการที่จะเปิดออฟฟิศและให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศเนื่องจากมีความหวาดกลัวในเรื่องของการแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งในทางบริษัท Microsoft ตั้งใจที่จะเปิดศูนย์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในรัฐวอชิงตันให้พนักงานกลับมาทำงาน รวมไปถึงออฟฟิศในหลาย ๆ พื้นที่ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึง

การที่บริษัท Microsoft ตัดสินใจที่จะเลื่อนเปิดออฟฟิศไปอีกทำให้ Microsoft กลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีแผนการที่จะเลื่อนการเปิดออฟฟิศออกไป หลาย ๆ บริษัทมีแผนการเปิดออฟฟิศหลังช่วงวันแรงงานจนถึงช่วงเดือนตุลาคม และอีกหลาย ๆ บริษัทมีแผนที่จะเปิดออฟฟิศอีกครั้งให้พนักงานเข้ามาทำงานในช่วงปี 2022 เลย

บริษัท Google เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีแผนการที่จะเปิดออฟฟิศให้พนักงานกลับมาทำงานในช่วงวันที่ 10 มกราคม 2022 โดยในระหว่างนี้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ ซึ่งเป็นการประกาศออกมาโดย Sundar Pichai ผู้ที่เป็น CEO ของทางบริษัท

ในช่วงโควิดที่ผ่านมาเราได้เห็นหลาย ๆ บริษัทปรับเปลี่ยนให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ซึ่งนั่นก็เป็นเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว และ 2 ปีที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าหลายๆ บริษัทนั้นยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้ถึงแม้ว่าพนักงานจะไม่ทำงานที่บริษัทก็ตามที และก็ดูเหมือนว่าในอนาคตหลังจากที่วิกฤตโควิดหมดไปเราคงจะได้เห็นหลาย ๆ บริษัทนั้นมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานอย่างแน่นอน จะมีความเป็น Hybrid มากขึ้น ซึ่งการทำงานในรูปแบบนี้ก็อาจจะเหมาะสมกับบุคคลหลาย ๆ คนเลยทีเดียว ก็ต้องมาติดตามดูว่าหลังจากการถ้าระบาดของโลกจบลงเราจะได้เห็นบริษัทหลาย ๆ บริษัทปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหนบ้าง

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก

Cnn: Microsoft abandons plan to reopen US offices amid Covid worries

Cnn: Google pushes its return to the office back to 2022

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook ดำเนินการลบโพสต์ Covid

Facebook

หลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิดเริ่มต้นขึ้น เล่นช่องทางที่สามารถแพร่กระจายข่าวทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รับรู้ทันอย่างรวดเร็วก็คือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการออกข่าวสารต่าง ๆ นั้นบางครั้งก็เป็นข้อมูลที่เป็นเท็จหรือถูกปลอมแปลงขึ้นมาทำให้เกิดความเสียหายและประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา

ถึงแม้ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดและประชาชนบางส่วนก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตดังเดิมแล้ว แต่ว่าก็มีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ยอมที่จะเดินทางไปฉีดวัคซีน และยังมีการแพร่กระจายข่าวปลอมต่าง ๆ เพื่อที่จะชักจูงคนให้ไม่ไปฉีดวัคซีนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็มาจากเรื่องการเมืองนั่นเอง

ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังนำโดยประธานาธิบดีโจไบเดนนั้นได้มีการกดดันและออกคำสั่งให้สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ นั้นช่วยลบข่าวปลอมออกจากแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อลดผลกระทบ ซึ่งหลายๆ แค่ปลอมก็เริ่มได้มีการดำเนินการหลังจากที่มีคำสั่งออกมาแต่ก็ดูเหมือนว่าแต่ยังไม่มากพอทำให้ตอนนี้การฉีดวัคซีนทั่วทั้งประเทศนั้นยังคงเป็นไปได้อย่างไม่เต็มที่มากเท่าไหร่

บน Facebook นั้นได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้มีการแชร์ข่าวสารปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิดไปเป็นจำนวนมากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็มี account ที่เชื่อมโยงไปกับกลุ่มและเพจต่าง ๆ บน Facebook และ Instagram ซึ่ง Facebook ก็ได้ทำการกำหนดบทลงโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มต้นจนถึงช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาทาง Facebook ได้มีการลบโพสต์ออกจาก Facebook และ Instagram ไปเป็นจำนวนมากกว่า 20 ล้านโพสต์แล้ว และยังได้มีการลบมากกว่า 3,000 บัญชีผู้ใช้งานกลุ่มรวมไปถึงเพจต่าง ๆ ที่มีการต่อต้านกฎระเบียบโควิดของแพลตฟอร์ม

Facebook นั้นได้มีการร่วมงานกับ Carnegie-Mellon University และ the University of Maryland ในการสำรวจเกี่ยวกับเรื่องโควิค โดยกลุ่มคนในสหรัฐมากกว่า 50% มีความลังเลที่จะไม่ฉีดวัคซีน แต่สำหรับ ในฝรั่งเศสนั้นมีการยอมรับมากถึง 35% รวมไปถึงในอินโดนีเซีย 25% และไนจีเรีย 20%

จากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในประเทศสหรัฐนั้นก็ยังคงชักจูงและเชิญชวนให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนได้ไม่มากพอ ถึงแม้ว่าทางประเทศสหรัฐจะดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ ในการชักจูงให้ผู้คนออกมาฉีดวัคซีนก็ตามที

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet , CNN

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  
เวปไซด์ getup-it.com