อนาคตของ Tiktok ในอเมริกายังไร้คำตอบ หลัง CEO เข้าสภาคองเกรส

อนาคตของ Tiktok ในอเมริกายังไร้คำตอบ หลัง CEO เข้าสภาคองเกรส

เมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทยที่ผ่านมา CEO ของ Tiktok คุณ Shou Chew ได้มีการเข้าพูดต่อหน้าสภาคองเกรส เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ของชาวอเมริกา หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการต่อต้านTiktok ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเมืองระหว่างประเทศ โดย Tiktok เป็นแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท ฺBytedance ในประเทศจีน ทำให้ Tiktok ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการล้วงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนในประเทศสหรัฐอเมริกา

ภาพ Pixabay/solenfeyissa

คุณ Shou Chew ก็ได้ตอบคำถามหลายประเด็นในสภาเริ่มต้นจากเขาได้มีการปฏิเสธว่าบริษัท Bytedance ไม่ได้เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนแต่เป็นบริษัทในระดับโลก ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลของลูกค้า และสำหรับในเรื่องของการเก็บบันทึกข้อมูลของผู้ใช้บริการในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้มีโปรเจคที่ชื่อว่า “Project Texas” ที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลส่วนตัว โดย Project ดังกล่าวใช้เงินมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐและมีการร่วมงานกับบริษัท Oracle Corp.

ถัดจากเรื่องความปลอดภัยในการล้วงข้อมูลทางสภาคองเกรสก็ได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยทางสื่อสังคมออนไลน์ปล่อยให้มีเนื้อหาที่มีความรุนแรงถูกเผยแพร่ และยังไม่มีมาตรการควบคุมความปลอดภัยของกลุ่มเยาวชนด้วย ซึ่งทาง Shou Chew ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยบอกว่าTiktok มีมาตรการดูแลเนื้อหาภายในสื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อกลุ่มเยาวชน และสำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีจะถูกตั้งค่าบัญชีให้เป็นบัญชีส่วนตัวและจะปิดรับการส่งข้อความโดยอัตโนมัติ

ภาพ Pixabay/Natalie_voy

ประเด็น 2 ประเด็นที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นประเด็นหลักที่ได้ถูกพูดถึงในสภาคองเกรสและสร้างความกดดันให้กับ CEO ของบริษัทเป็นอย่างมากแต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่ายังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับอนาคตของ Tiktok ว่าจะถูกระงับการใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ในส่วนนี้ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป และถึงแม้ว่ารัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจะต่อต้านการใช้งาน Tiktok ในประเทศแต่กลุ่มประชาชนบางส่วนก็สนับสนุน Tiktok อยู่เช่นเดียวกัน

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

การแข่งขันของเทคโนโลยีด้านอวกาศในปี 2022 ของสหรัฐอเมริกา

การแข่งขันของเทคโนโลยีด้านอวกาศในปี 2022 ของสหรัฐอเมริกา

                ช่วงเวลาที่ทุกการปล่อยจรวดถูกสตรีมสดบน Youtube ผู้คนนับล้านได้รับที่นั่งแถวหน้าเพื่อความสำเร็จและความล้มเหลวของ บริษัท อวกาศ Astra บริษัทสตาร์ทอัพด้านจรวดที่กลายเป็นบริษัทมหาชน มีทั้งสองอย่าง แต่ตาม CEO Chris Kemp ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่ประเด็น “ความคาดหวังที่ฉันคิดว่าผู้คนจำนวนมากมีคือทุกการเปิดตัวจะต้องสมบูรณ์แบบ ฉันคิดว่าสิ่งที่ Astra ต้องทำจริงๆ

คือเราต้องมีการเปิดตัวจำนวนมากจนไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป” ในที่สุด Astra (แอสตร้า) ต้องการที่จะบรรลุจังหวะการเปิดตัวรายวัน ในระหว่างนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรายสัปดาห์ในต้นปีหน้า เป็นส่วนสำคัญของการที่บริษัทตั้งเป้าที่จะเอาชนะท่ามกลางกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์เปิดตัวรายย่อยที่มีผู้คนหนาแน่นมากขึ้น ไม่ใช่เพราะไม่มีที่ติ แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำและมีปริมาณมากจนความเสี่ยงที่สัมพันธ์กันของความล้มเหลวอันเป็นหายนะบางอย่างหมดไป

ในการไปถึงที่นั่น แอสตร้ากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันกลายเป็นบริษัทที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ไปถึงวงโคจรในเดือนพฤศจิกายน หกปีหลังจากการก่อตั้งบริษัท Kemp สรุปแนวทางดังกล่าวในวันพฤหัสบดีที่ “Spacetech Day” ของ Astra: “แนวทางที่เราใช้ไม่ใช่การออกแบบและสร้าง PowerPoints และทำการวิเคราะห์ทั้งหมด จากนั้นอีก 5 หรือ 10 ปีต่อมา

ในที่สุดก็อาจสร้างจรวดได้” เขากล่าว “ภายใน 18 เดือนของการก่อตั้งบริษัทในโรงรถนั้น ได้รับใบอนุญาตการยิง และเปิดตัวจรวดตัวแรกของเรา จากนั้นจึงทำอีกครั้งในสองสามเดือนต่อมา และครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่ใช่วิธีที่นิยมในการแก้ไขปัญหานี้” เขากล่าวเสริม

ตลาดสามารถรองรับจังหวะการเปิดตัวรายวันได้หรือไม่? แอสตร้ากำลังเดิมพันว่าทำได้ วิธีที่ Astra มองเห็น อุตสาหกรรมการปล่อยยานก็เหมือนเส้นโค้ง: ด้านหนึ่งมีบริษัทต่างๆ เช่น SpaceX ที่ให้บริการภารกิจที่มีลูกเรือ ส่งสินค้าไปยังอวกาศ และแม้กระทั่งพยายามจะตั้งรกรากในดาวเคราะห์ดวงอื่นในท้ายที่สุด อีกด้านหนึ่งของเส้นโค้งคือ Astra: เล็ก ราคาถูก และเบา เส้นโค้งตรงกลางคือสิ่งที่เคมป์เรียกว่า “หุบเขามรณะ”

“คุณสามารถขยายขนาดจรวดหรือขยายโรงงาน เราคิดว่ามีผู้ชนะที่ปลายทั้งสองของสเปกตรัมนั้น และอยู่ตรงกลาง…มันจะเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับบริษัททั้งหมดที่อยู่ตรงกลาง”

ความเชื่อมั่นส่วนหนึ่งของบริษัทมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มดาวดาวเทียมที่วางแผนไว้หรืออยู่ระหว่างดำเนินการที่จะโคจร การเดิมพันของแอสตร้าว่าผู้ให้บริการเต็มใจที่จะเสี่ยงร้อยละเล็กน้อยของยานอวกาศของพวกเขาไม่ถึงวงโคจร เพื่อแลกกับความเร็วในการปล่อย ต้นทุนที่ต่ำลง และวิถีโคจรที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมากขึ้น แนวทางนี้เป็นแนวทางในการตัดสินใจของบริษัท: จรวดที่ทำจากวัสดุต้นทุนต่ำ เช่น อลูมิเนียม การใช้ชิ้นส่วนที่หล่อด้วยเครื่องจักรกับชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3 มิติ

ระบบการเปิดตัวที่ต้องใช้ทีมงานเพียงหกคนในการปรับใช้ และสามารถใส่ลงในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานได้ แอสตร้ายังคงลดความซับซ้อนต่อไป จรวดรุ่นต่อไปคือ Rocket 4.0 จะมีเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่าเพียงสองเครื่องเท่านั้น เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดเล็กห้าเครื่องที่พบใน Rocket 3.0 และกระบวนการทั้งหมดจะเป็นแบบอัตโนมัติยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้ทีมควบคุมภารกิจลดจำนวนลงจากไม่ถึงสิบคนเหลือเพียงสองคน

โรงงานผลิตจรวดของ Astra ในเมือง Alameda รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Astra กำลังเรียกกระบวนการใหม่ Launch System 2.0 คาดว่าจะทำการบินทดสอบครั้งแรกของตัวเรียกใช้งาน 4.0 ของระบบในปลายปีนี้ และในที่สุดเมื่อจรวดถูกเตรียมสำหรับการดำเนินการเชิงพาณิชย์

แอสตร้ากล่าวว่าจะสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 300 กิโลกรัมสู่วงโคจรต่ำของโลกในราคาฐาน 3.95 ล้านดอลลาร์ ในทางตรงกันข้าม ราคามาตรฐานสำหรับจรวดอิเลคตรอนของ Rocket Lab สำหรับน้ำหนักบรรทุกเท่ากันนั้นอยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านดอลลาร์ต่อการเปิดตัวหนึ่งครั้ง แม้ว่า Rocket Lab บอกว่าราคาสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับข้อกำหนดภารกิจเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย

จังหวะการเปิดตัวที่ทะเยอทะยานดังกล่าวต้องใช้แผนการผลิตที่มีความทะเยอทะยานเท่าเทียมกัน Kemp บอกว่าโรงงานผลิตพื้นที่ 250,000 ตารางฟุตของบริษัททำให้บริษัทสามารถผลิตจรวดได้หนึ่งลูกต่อวัน เพื่อสนับสนุนการผลิตเพิ่มเติม แอสตร้าได้ว่าจ้าง Benjamin Lyon ผู้นำของ Apple มาอย่างยาวนานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมของบริษัท

การย้ายจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคไปยังเรือจรวดอาจดูผิดปกติ แต่เป็นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับความตั้งใจของ Astra ที่จะบรรลุระดับการผลิตที่ไม่เคยมีมาก่อนในการบินและอวกาศ ส่วนหนึ่งของแผนการเพิ่มจังหวะการเปิดตัว Astra ได้ประกาศแผนการเมื่อต้นเดือนนี้ที่จะเปิดตัว SaxaVord UK Spaceport โดยเร็วที่สุดในปี 2023 และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนสำหรับบริษัท นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

Source : https://techcrunch.com/2022/05/13/astras-playing-the-long-game/

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook ดำเนินการลบโพสต์ Covid

Facebook

หลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิดเริ่มต้นขึ้น เล่นช่องทางที่สามารถแพร่กระจายข่าวทำให้ผู้คนทั่วโลกได้รับรู้ทันอย่างรวดเร็วก็คือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการออกข่าวสารต่าง ๆ นั้นบางครั้งก็เป็นข้อมูลที่เป็นเท็จหรือถูกปลอมแปลงขึ้นมาทำให้เกิดความเสียหายและประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา

ถึงแม้ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดและประชาชนบางส่วนก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตดังเดิมแล้ว แต่ว่าก็มีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ยอมที่จะเดินทางไปฉีดวัคซีน และยังมีการแพร่กระจายข่าวปลอมต่าง ๆ เพื่อที่จะชักจูงคนให้ไม่ไปฉีดวัคซีนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็มาจากเรื่องการเมืองนั่นเอง

ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังนำโดยประธานาธิบดีโจไบเดนนั้นได้มีการกดดันและออกคำสั่งให้สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ นั้นช่วยลบข่าวปลอมออกจากแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อลดผลกระทบ ซึ่งหลายๆ แค่ปลอมก็เริ่มได้มีการดำเนินการหลังจากที่มีคำสั่งออกมาแต่ก็ดูเหมือนว่าแต่ยังไม่มากพอทำให้ตอนนี้การฉีดวัคซีนทั่วทั้งประเทศนั้นยังคงเป็นไปได้อย่างไม่เต็มที่มากเท่าไหร่

บน Facebook นั้นได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้มีการแชร์ข่าวสารปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิดไปเป็นจำนวนมากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็มี account ที่เชื่อมโยงไปกับกลุ่มและเพจต่าง ๆ บน Facebook และ Instagram ซึ่ง Facebook ก็ได้ทำการกำหนดบทลงโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตั้งแต่การแพร่ระบาดเริ่มต้นจนถึงช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาทาง Facebook ได้มีการลบโพสต์ออกจาก Facebook และ Instagram ไปเป็นจำนวนมากกว่า 20 ล้านโพสต์แล้ว และยังได้มีการลบมากกว่า 3,000 บัญชีผู้ใช้งานกลุ่มรวมไปถึงเพจต่าง ๆ ที่มีการต่อต้านกฎระเบียบโควิดของแพลตฟอร์ม

Facebook นั้นได้มีการร่วมงานกับ Carnegie-Mellon University และ the University of Maryland ในการสำรวจเกี่ยวกับเรื่องโควิค โดยกลุ่มคนในสหรัฐมากกว่า 50% มีความลังเลที่จะไม่ฉีดวัคซีน แต่สำหรับ ในฝรั่งเศสนั้นมีการยอมรับมากถึง 35% รวมไปถึงในอินโดนีเซีย 25% และไนจีเรีย 20%

จากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในประเทศสหรัฐนั้นก็ยังคงชักจูงและเชิญชวนให้ประชาชนมาฉีดวัคซีนได้ไม่มากพอ ถึงแม้ว่าทางประเทศสหรัฐจะดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ ในการชักจูงให้ผู้คนออกมาฉีดวัคซีนก็ตามที

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet , CNN

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  
เวปไซด์ getup-it.com