Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ซึ่งปัจจุบัน หลาย ๆ ที่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าเซลล์ นอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วการใช้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ยังช่วยลดค่าไฟได้อีกด้วย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย จำเป็นที่จะต้องใช้ความชำนาญและหามุมที่ถูกต้องเพื่อสร้างพลังงานให้ได้มากที่สุด ซึ่ง Google ได้มีการพัฒนาโปรเจค Sunroof ช่วยในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เมื่อปีที่ผ่านมาและก็ได้ต่อยอดให้กลายเป็น Solar API

ภาพ Google map platform

Solar API เป็นเหมือนคลังข้อมูลในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านโดยมันจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พื้นที่ของอาคาร, ขนาด และ ปริมาณของแสงอาทิตย์ รวมไปถึงข้อมูลโดยละเอียดเช่นขนาดและความลาดของหลังคา และผลิตภัณฑ์พลังงานจากระบบโซลาร์บนหลังคา ซึ่งข้อมูลจะย้อนหลัง 1 ปี โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเว็บไซต์ตลาดโซลาร์, ผู้ติดตั้งโซลาร์, นักพัฒนา SaaS, และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการติดตั้งโซลาร์

นอกจากจะช่วยให้การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เป็นเรื่องง่ายแล้ว Solar API ยังใช้ระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเหลือทำให้จะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการการติดตั้ง จุดคุ้มทุนที่ลงทุนเพื่อติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ อัตราการประหยัดพลังงาน ค่าไฟต่อปี และ อัตราการประหยัดพลังงานต่อปี เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่คำนวณให้หมดว่าคุ้มต่อการติดตั้งหรือไม่ ซึ่งระบบบางอย่างของ Solar API จะสามารถใช้งานได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ภาพ Google map platform

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยให้เป้าหมายของ Google ประสบความสำเร็จเนื่องจากทางบริษัทมีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 Google จะช่วยให้บุคคล, เมือง และลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้มากถึง 1 กิ๊กกะตันต่อปี ซึ่งการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้กลายเป็นมุดหมายสำคัญที่บริษัทใหญ่พยายามที่จะทำให้ได้ในอนาคตโดยการพยายามใช้พลังงานสะอาดหรือการรีไซเคิลมากขึ้นเพราะในตอนนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่แก้ได้ยาก

ข้อมูลจาก Google

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Ernie จาก Baidu แชทบอท AI ตัวแรกของคนจีน

Ernie จาก Baidu แชทบอท AI ตัวแรกของคนจีน

นับตั้งแต่เทคโนโลยี AI เริ่มเป็นที่รู้จักเราได้เห็น Microsoft เป็นบริษัทแรกที่เปิดตัว ChatGPT หลังจากนั้นบริษัทที่ตามมาก็คือ Google ที่เปิดตัว Bard AI โดยแชทบอทเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากในการทำงานและอื่น ๆ อีกทั้งได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประเทศจีนซึ่งเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจของโลกและเป็นประเทศชาตินิยมก็คงจะไม่หยุดเฉยอย่างแน่นอน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีนก็ได้มีการพัฒนา AI เช่นเดียวกัน และก็ได้เปิดตัวมาแล้วในชื่อ Ernie ซึ่งเป็นแชทบอท AI ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Baidu ซึ่งมันก็เป็นแชทบอท AI ตัวแรกที่เปิดให้ใช้งานอย่างสาธารณะในประเทศจีน

ภาพ Pixabay/Alexandra_Koch

ทันทีทันใดที่เปิดให้ดาวน์โหลดบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Ernie ก็กลายเป็นแอปยอดนิยมโดยทำยอดดาวน์โหลดสูงสุดใน App Store ของประเทศจีน โดยก่อนที่จะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้ใช้ Ernie ได้ถูกใช้ในบริษัทใหญ่ๆ ตั้งแต่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากมียอดดาวน์โหลดถล่มทลายแล้ว แชทบอทตัวนี้ยังช่วยให้หุ้นของบริษัท Baidu ปรับตัวขึ้นถึง 3% ด้วยเช่นเดียวกัน

Ernie เป็นระบบแชท AI ที่รองรับข้อมูลกว่า 5.5 แสนล้านชุด โดยรองรับแค่ผู้ใช้งานในประเทศจีนเพียงเท่านั้น ภาษาที่รองรับก็คือภาษาจีนกลางและภาษาจีนของแต่ละภูมิภาค ซึ่งบุคคลทั่วไปที่ต้องการใช้งานไม่จำเป็นที่จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน ความสามารถของ Ernie สามารถทำได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลเกี่ยวกับนิยายจีน ให้ไอเดียเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ออกความเห็นการตั้งชื่อบริษัทและสโลแกนของบริษัท และยังสามารถเขียนจดหมายได้ด้วย ซึ่งความสามารถเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานเปิดตัว Baidu ERNIE Bot Press Conference ที่จัดขึ้นเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว

ภาพ Pexels/Sanket Mishra

การพัฒนาแชทบอท AI กฎระเบียบใหม่ที่ทางประเทศจีนนั้นเสนอขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเทคโนโลยี AI ของชาติตะวันตกไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Bard AI แต่ต้องได้รับการควบคุมข้อมูลอย่างเข้มงวดจากทางรัฐบาล ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเลยก็คือภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจะทำให้ Ernie นั้นสามารถพัฒนาไปได้ไกลมากแค่ไหน เพราะถ้าหากมองกลับไปทางฝั่งตะวันตกเทคโนโลยีแชทบอท AI ได้รับอิสระในด้านการพัฒนามากกว่า

ข้อมูลจาก CNBC , Blognone , Aljazeera

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Nvidia เปิดตัวชิปใหม่เพิ่มขุมพลัง AI

Nvidia เปิดตัวชิปใหม่เพิ่มขุมพลัง AI

          เทคโนโลยี AI กำลังเป็นที่ถูกจับตามองจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกอยู่ในตอนนี้เทคโนโลยี AI สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์รูปภาพและวิดีโอได้ แต่การประมวลผลในการสร้างภาพ AI จะต้องใช้กำลัง CPU และ GPU อย่างมาก ยิ่งภาพที่ต้องการสร้างมีความซับซ้อนมากเท่าใดก็ย่อมยิ่งใช้ชิปประมวลผลที่มีกำลังมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ผลิตชิปประมวลผลจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้เทียบเท่ากับความซับซ้อนของภาพ AI ที่จะถูกสร้างขึ้น 

ภาพ   GH200/Nvidia

          Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ได้มีการเปิดตัว GH200 ที่เป็นซูเปอรืชิป โดยทาง Nvidia บอกว่า GH200 จะเป็นชิปที่สามารถออกแบบภาพ AI ที่มีความสร้างสรรค์และซับซ้อนมากที่สุด สามารถควบคุมแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ได้ รวมถึงมีการบรรจุระบบแนะนำและฐานข้อมูลเวกเตอร์ 

ภาพ  H100/Nvidia

          GH200 จะมีจำนวน GPU เท่ากับ H100 ที่เป็นชิปตัวปัจจุบันของ Nvidia แต่จะจะมีปริมาณความจุของหน่วยความจำมากกว่า 3 เท่า โดย GH200 จะเริ่มใช้งานในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 และยังไม่ได้เปิดเผยราคาของมันอย่างเป็นทางการ แต่ตัวชิป H100 ที่เป็นตัวปัจจุบันนั้นวางจำหน่ายอยู่ที่ราคา 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คาดเดาได้ว่า GH200 จะมีราคาที่แพงกว่าอย่างแน่นอน 

          ถึงแม้ว่าจะเปิดตัว GH200 เพื่อใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี AI แต่ Nvidia  ก็ต้องไม่ลืมว่ายังมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง AMD อยู่ด้วยและบริษัทคู่แข่งนี้มีกำหนดที่จะเปิดตัว AI GPU ในช่วง ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

          ในอนาคตเทคโนโลยี AI จะต้องมีบทบาทมากขึ้นแน่นอนและผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับ AI ก็จะกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า เพราะว่าในอนาคตอุปกรณ์เทคโนโลยีถูกสร้างขึ้นอาจจะต้องมีการพึ่งพาชิปจากบริษัทผู้พัฒนาชีวิตประมวลผล ดังนั้นใครก้าวก่อนก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  สำหรับ Nvidia  ก็เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอย่าง Microsoft  ซึ่งพวกเขาต้องการชิป AI อย่างแน่นอน เพื่อพัฒนาโปรแกรมและฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มี การนำเทคโนโลยี AI เข้าไปใส่ไว้ในโปรแกรม Microsoft 365 ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Word, Microsoft Office และอื่น ๆ เพื่อเป็นผู้ช่วยในการทำงาน เช่นการทำสไลด์ Powerpoint, ทำตารางเก็บข้อมูลใน Excel  หรือช่วยพิมพ์ข้อมูลใน Microsoft Word  เป็นต้น

ข้อมูลจาก The Verge , Driodsans

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท X กำลังทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างแพลตฟอร์ม X ให้กลายเป็น Super App อย่างที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X เขาก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตลอดว่าเขาต้องการทำให้ X เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านของการเงิน แอป X ในอนาคตอาจจะควบคุมการเงินโลกได้ ซึ่งล่าสุดเขาก็เดินหน้าตามแผนการดังกล่าวนั้นเริ่มต้นจากยื่นข้อเสนอกับบริษัทข้อมูลการเงินยักษ์ใหญ่ เพื่อพัฒนา Trading Hub ในX

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรายงานจาก Semafor ว่า X ได้มีการยื่นข้อเสนอเพื่อพูดคุยกับบริษัทข้อมูลทางการเงินเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก X ต้องการข้อมูลการเงินและข้อมูลของตลาดหุ้นแบบ Real Time เพื่อพัฒนาให้ Trading Service ในแอป X อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าบริษัทไหนที่จะตอบรับข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เพื่อสร้างโปรเจคนี้ อีกหนึ่งเรื่องก็คือในข้อเสนอที่ทาง X ไม่ได้มีการพูดถึงค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีการถามถึงเงินลงทุนที่ทางบริษัทจะมาลงทุน ทำให้ในตอนนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีบริษัทไหนที่จะมาร่วมโปรเจคกับทาง X

ก่อนหน้านี้X ได้มีการนำข้อมูลทางการเงินเข้ามาในแพลตฟอร์มตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยได้มีการร่วมเป็น partner กับ Etoro ที่เป็นบริษัทการลงทุน ทำให้ผู้ใช้งาน X สามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นคริปโต, หุ้น และ อื่นๆ นอกจากสามารถดูทรัพย์สินต่างๆ อีลอน มัสก์ยังวางแผนที่จะทำระบบการชำระเงินด้วยเงิน Fiat บน X และในอนาคตอาจจะชำระเงินด้วยคริปโตได้ด้วยเช่นเดียวกันนำมาโดยเหรียญ Doge Coin

ภาพ X/Elon Musk

อีลอน มัสก์มีความฝันที่จะสร้าง Super App ที่ครบจบในแอปเดียวไม่ว่าจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ซื้อของขายของ และอื่น ๆ เหมือนกับ WeChat ของประเทศจีน หรือ LINE ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของทั้งหมดคือการ รีแบรนด์จาก Twitter เป็น X และเขาก็ได้พูดแผนการคร่าวๆ ที่จะทำกับ X ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องดูว่าตัวเขาจะพัฒนาให้ X เป็นแอปที่สามารถควบคุมการเงินของโลกได้จริงหรือไม่ แล้วจะมีฟังก์ชันอื่นๆ เหมือนกับ WeChat หรือ LINE มากน้อยเพียงใด

ข้อมูลจาก Firstpost , Coinspeaker

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

สาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีแก้ไข

สาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีแก้ไข

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมมือถือของเรา แบตเตอรี่หมดเร็ว ทั้งๆ ที่มีการใช้งานน้อย หรือแทบไม่ได้ใช้งานเลยในวันๆ หนึ่ง ดังนั้นวันนี้เราจึงจะมาเผยถึงสาเหตุที่ทำให้มือถือของเราพลังงานลดลงเร็วแบบไม่รู้ตัว พร้อมกับวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด หากพร้อมแล้วก็ตามมาเช็คตัวการเหล่านี้กันเลย

1. เปิดใช้ 5G แบบไม่จำเป็น

เริ่มที่ปัจจัยแรกที่เป็นตัวการทำให้แบตเตอรี่มือถือหมดเร็วแบบไม่รู้ตัวนั่นก็คือ เทคโนโลยี 5G ที่หลายๆ คนอยากใช้งาน เนื่องจากความเร็วจะเกิดจากการจับสัญญาณแบบหลายความถี่รวมๆ กัน ส่งผลทำให้มือถือของเราทำงานหนักนั่นเอง

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ให้เลือกใช้งาน 5G แบบเหมาะสม เช่นในมือถือบางรุ่นอาจมีการปรับการทำงานให้เหมาะสมทำให้สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้

2. เปิดโปรแกรมอื่นๆ ค้างไว้

โปรแกรมในมือถือเราก็สามารถทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อโปรแกรมทำงานก็มีการแจ้งเตือนตลอดเวลา และมีการจองพื้นที่การทำงานของ CPU ส่งผลให้มีการนำไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดเวลา ทำให้ แบตเตอรี่หมดเร็ว ยิ่งขึ้น

วิธีแก้ปัญหาก็คือ หากไม่แน่ใจว่าได้เปิดโปรแกรมอะไรไว้บ้าง ขอแนะนำให้ทำการ Restart เครื่องทุกๆ เช้า สำหรับมือถือ Android แค่กดปุ่ม Recent Apps แล้วกดที่ปิดทั้งหมด แค่นี้ก็เป็นการประหยัดแบตเตอรี่ได้แล้ว

3. หน้าจอสว่างมาก

ความสว่างหน้าจอก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่มือถือหมดเร็ว หลายๆ คนชอบใช้งานมือถือในกลางแจ้ง ส่งผลให้หน้าจอเร่งความสว่างไปที่ระดับสูงสุด หรือบางครั้งอาจปรับหน้าจอให้เกิดความสว่างระดับสุด ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้เครื่องร้อนง่ายและเป็นการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้มือถือแบตเตอรี่หมดไวในที่สุด

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ปรับความสว่างให้เหมาะสม หรือ จะเปิดความสว่างแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ระบบช่วยปรับความสว่างให้ จะได้ไม่เปลืองพลังงาน

4. โหมดการใช้พลังงานไม่เหมาะสม

สำหรับการใช้พลังงานมือถือบางเครื่องอาจมีให้เลือกหลายโหมด และอาจมีโหมดเปิดใช้พลังงานแบบบ้าคลั่งด้วยเช่นเดียวกัน วิธีแก้ปัญหาก็คือ เราต้องเลือกใช้โหมดพลังงานที่เหมาะสม หากต้องการให้แบตเตอรี่อยู่ได้ยาวนานทั้งวัน ก็สามารถเลือกใช้โหมดประหยัดพลังงานได้ โดยถ้าเป็นใน iPhone สามารถทำการเลือกโหมด Low Power ได้

5. อัตราความเคลื่อนไหวมากเกินไป

เนื่องจากมือถือในสมัยนี้มีความสามารถในการแสดงผลของหน้าจออย่างรวดเร็ว หรือเรียกอีกอย่างว่าค่า Refresh Rate สูง ซึ่งการใช้ค่า Refresh Rate ที่สูงตลอดเวลาในทุกๆ แอปพลิเคชั่นก็ส่งผลให้ แบตเตอรี่หมดเร็ว ได้

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ให้เลือกใช้ค่า Refresh Rate ที่เหมาะสม โดยสำหรับมือถือบางรุ่นนั้นจะมีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Adaptive Refresh Rate ซึ่งจะเป็นระบบแปลผันการทำงานอัตโนมัติ ที่จะมาช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ระดับหนึ่ง

และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เมื่อเราเข้าใจถึงสาเหตุอย่างถ่องแท้แล้วก็จะทำให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหมดปัญหามากวนใจ เพราะฉะนั้นหากใครกำลังเจอกับปัญหานี้กันอยู่ ก็อย่าลืมนำเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปใช้กันดูนะ

รูปภาพประกอบ : sanook.com

รูปภาพประกอบ : flashfly.net

รูปภาพประกอบ : men.kapook.com

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ชาวอเมริกันไม่ถูกใจ X ยอดรีวิวต่ำ

ชาวอเมริกันไม่ถูกใจ X ยอดรีวิวต่ำ

Twitter ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายหลังจากที่ Elon Musk เข้ามาซื้อบริษัท และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาก็ได้มีการรีแบรนด์จาก Twitter ให้เป็น “X” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจชาวอเมริกันบางกลุ่ม

Sensor Tower บริษัทให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชันและการตลาดบนมือถือ เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากที่Twitter มีการเปลี่ยนชื่อเป็นX ในช่วงสัปดาห์นั้นมียอดการติดตั้งแอปเพิ่มขึ้น 20% และมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 3-4% รวมถึง CEO คนปัจจุบันอย่าง Linda Yaccarino ก็ได้ออกมายืนยันด้วยเช่นกันว่า การใช้งานแอปพลิเคชันอยู่ในระดับสูงที่สุดตลอดกาล รวมถึง Elon Musk ได้โพสต์บอกว่าผู้ใช้รายเดือนได้เพิ่มขึ้นถึงระดับสูงใหม่ในปีนี้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลนี้ก็ดูเหมือนว่า X จะเติบโตไปในทิศทางที่ดี แต่ว่าคะแนนรีวิวดูเหมือนว่าจะสวนทางกัน

ภาพ Twitter/Elon Musk

Sensor Tower ได้เปิดเผยข้อมูลอีกด้วยว่าคะแนนรีวิวแอป X บนร้านค้า App Store ในสหรัฐอเมริกา แย่มากโดยเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน 50% ของยอดรีวิวทั้งหมดให้คะแนนการรีวิวเพียงแค่ 1 ดาว และก็เพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 78% แล้ว โดยคอมเม้นส่วนใหญ่จะแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันเช่น

“ เอานกของเราคืนมา”

“ พวกเราขอนกคลื่น”

“ แอป X คืออะไร”

“ แอปดี ๆ กลายเป็นแย่”

จากข้อความรีวิวที่คนเข้ามารีวิวการแสดงให้เห็นแล้วว่าการให้คะแนนเพียงแค่ 1 ดาวไม่ได้เจาะจงไปที่การรีแบรนด์ของบริษัท แต่จะพวกเขาไม่พอใจกับโลโก้และชื่อของแอปเสียมากกว่า

สิ่งที่แย่ตามมาเลยก็คือการเปลี่ยนแปลงและข้อจำกัดต่าง ๆ Elon Musk ที่สร้างขึ้นจะทำให้ ระยะเวลาการใช้งานของ X ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้ใช้งานใช้เวลากับแอปน้อยลง 7% ต่อสัปดาห์ และเมื่อแบ่งเป็นเซสชั่นประจำวันลดลงถึง 6%

ภาพ Twitter/Elon Musk

การเปลี่ยนแปลงของ X นอกจากจะทำให้คะแนนรีวิวลดลงแล้ว มันยังเป็นปัญหาในการค้นหาใน Microsoft Edge เนื่องจากระบบของเว็บเบราว์เซอร์ดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีปัญหาและคิดว่าเป็นสแกม แและยังมีปัญหากับประเทศอินโดนีเซียเนื่องจากชื่อเว็บไซต์นั้นมีความคล้ายคลึงกับเว็บหนังผู้ใหญ่ซึ่งละเมิดกฎระเบียบของประเทศอินโดนีเซียนั่นเอง

เรียกได้ว่า Elon Musk ยังมีงานให้ทำอีกเยอะเลยเพื่อที่จะทำให้X กลายเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งาน และไม่ไปละเมิดกฎระเบียบของประเทศอื่น ๆ

ข้อมูลจาก Techcruch , Engadget

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Meta ปรับใหม่ เด็กอายุ 10 ขวบก็ใช้งานแว่น VR ได้แล้ว

Meta ปรับใหม่ เด็กอายุ 10 ขวบก็ใช้งานแว่น VR ได้แล้ว

โดยปกติแล้วสื่อสังคมออนไลน์ที่เราใช้งานกันเป็นประจำอย่างเช่น Facebook และ Instagram ที่อยู่ในการดูแลของบริษัท Meta จะมีการจำกัดอายุในการใช้งานไม่ต่ำกว่า 13 ปี เพื่อป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนแต่ว่าเป็นที่รู้ ๆ กันว่ามีเด็กจำนวนมากมายที่ได้มีการเปลี่ยนข้อมูลอายุเพื่อเข้ามาใช้งาน สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงกับเด็กและเยาวชนได้ ดังนั้นทางบริษัท Meta จึงพยายามที่จะพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์สำหรับเด็กเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามหรือผลกระทบในด้านลบกับเด็กและเยาวชนที่มาใช้งาน

ภาพ Meta Quest

นอกจากสื่อสังคมออนไลน์โดยทั่วไปแล้วบริษัท Meta ได้มีการพัฒนาโลกเสมือนจริงหรือ Metaverse ด้วยโดยใช้เทคโนโลยี VR ผ่านแว่นตาที่มีชื่อว่า Meta Quest และเช่นเดียวกับ Facebook การใช้งานแว่นตา Meta Quest ก็มีการจำกัดอายุอยู่ที่ 13 ปีเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าบริษัท Meta จะมีการปรับใหม่ให้มีการจำกัดอายุอยู่เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น โดยข้อบังคับใหม่นี้ใช้กับบัญชี Meta Quest 2 และ Meta Quest 3 โดย Meta ให้เหตุผลว่าบริษัทรู้ว่าเด็กต้องการที่จะใช้งานแว่นตา VR ของพวกเขา พวกเราจะให้พวกเขาได้ใช้งานแต่จะมีการจำกัดการเข้าถึงของพวกเขาดีกว่าให้พวกเขามาใช้ข้อมูลอายุปลอมในการเข้าเล่น

ภาพ Meta Quest

เมื่อเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 10 – 12 ปีได้มีการสร้างโปรไฟล์ Meta Quest ขึ้นมาระบบ จะเปลี่ยนให้โปรไฟล์ของพวกเขาเป็นโปรไฟล์ส่วนตัวตั้งแต่เริ่มต้น และจะจำกัดแอปพลิเคชันให้พวกเขาได้ใช้งาน โดยการสมัครเพื่อสร้างบัญชีเพื่อใช้งานแว่นตา Meta Quest เด็กและเยาวชนเหล่านี้ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ปกครอง รวมถึงผู้ปกครองของเด็กจะเป็นคนเดียวที่สามารถที่จะปิดระบบความปลอดภัยได้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรเมื่อสวมแว่นตา VR ของ Meta เด็ก ๆ ก็จะอยู่ในการควบคุมดูแลของผู้ปกครองอยู่อย่างเสมอ แต่อย่างไรก็ตามเยาวชนที่มีอายุ 10-12 ปีจะยังไม่สามารถเข้าใช้งาน Horizon Worlds ได้ แต่ก็ต้องดูต่อไปว่าในอนาคตบริษัท Meta จะมีการปรับเปลี่ยนให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีเข้าใช้งาน Horizon Worlds หรือไม่ สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการจะซื้อแว่นตา Meta Quest ให้ลูกเล่นสามารถดูรายละเอียดในการดูแลการเข้าถึงการใช้งานได้ที่ Meta

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

อีลอนบอก! เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์เขียนบทความใน Twitter

อีลอนบอก! เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์เขียนบทความใน Twitter

Twitter สื่อสังคมออนไลน์ที่กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Threads กำลังจะเตรียมการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ให้กับผู้ใช้งาน ข้อมูลนี้ได้จากอีลอนมัสก์ โดยเจ้าตัวได้ออกมาตอบผู้ติดตามของเขาว่าTwitter กำลังมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ให้กับผู้ใช้งาน โดยจะอนุญาตให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถเขียนบทความที่มีความยาวและซับซ้อนได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ที่ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถเขียนข้อความที่ยาวเหมือนเขียนหนังสือได้นั้นจะเปิดใช้ให้กับทุกคนหรือเฉพาะกับคนบางกลุ่มที่สมัคร Twitter Blue เพราะว่าในตอนนี้สำหรับคนที่ไม่ได้สมัคร Twitter Blue จะเขียนข้อความได้แค่เพียง 280 ตัวอักษรเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากคนที่สมัครเอาไว้ที่จะสามารถเขียนตัวอักษรได้มากถึง 1,000 ตัวอักษร ซึ่งข้อจำกัดของการพิมพ์ตัวอักษรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบในการเขียนโพสต์ยาว ๆ ไม่นิยมใช้งาน Twitter

ภาพ Pexels/Brett Jordan

จุดที่น่าจะยังเป็นคำถามก็คืออีลอนมัสก์จะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้กับทุกคนหรือไม่เพื่อเรียกผู้ใช้งานรายใหม่ให้มาใช้งาน Twitter เพิ่มมากขึ้น หรือจะบรรจุไว้แค่เพียง Twitter Blue เพื่อเรียกผลตอบแทนต่อไปแต่ก็อาจจะไม่ได้ผู้ใช้รายใหม่เข้ามา และที่สำคัญถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาบอกว่ากำลังพัฒนาฟีเจอร์การเขียนบทความนี้อยู่แต่ก็ยังไม่ได้ระบุวันที่จะมีการอัปเดตให้ใช้งานเมื่อใด มันอาจจะมีการอัปเดตอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้หรือจะเป็นเจ้าตัวที่จะออกมาประกาศอีกทีว่า Twitter กำลังมีฟิเจอร์ใหม่ออกมา

ภาพ Pexels/Pixabay

Twitter มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายหลังจากที่เปลี่ยนเจ้าของใหม่ แถมเริ่มมีคู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วยดังนั้นการเพิ่มหรือมีการอัปเดตสิ่งต่าง ๆ เข้าไปเพื่อทำให้แพลตฟอร์มนั้นเป็นที่นิยมมากขึ้นก็เป็นส่วนสำคัญมิฉะนั้นอาจจะเจอคู่แข่งอย่าง Threads ขโมยยอดผู้ใช้งานไปมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม Twitter ก็ยังมีจุดเด่นในด้านของเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มซึ่งแตกต่างจาก Threads ที่มีข้อกำหนดมากกว่า จุดเด่นของทั้งสองแพลตฟอร์มนั้นมีความแตกต่างกันมากถ้า Twitter สามารถที่จะดึงจุดเด่นของตัวเองออกมาได้ผู้ใช้งานก็อาจจะสนใจใช้งานต่อไปก็เป็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Threads เตรียมอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

Threads เตรียมอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

หลังจากที่บริษัท Meta เปิดตัวสื่อสังคมออนไลน์ใหม่อย่างThreads ก็ได้กระแสตอบรับอย่างถล่มทลายเพียงเวลาไม่กี่วันก็มียอดเข้ามาใช้งานเกินกว่า 100 ล้านบัญชีแล้วเรียกว่าเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดเลยก็ว่าได้ แม้จะเปิดตัวได้อย่างสวยงามแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้ทางผู้พัฒนาจะต้องรีบเร่งออกมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยมีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่เข้าไป มีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนะ แล้วมันจะช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ได้หรือไม่มาติดตามกัน

Threads เพิ่มฟีเจอร์แสดงผู้ติดตามล่าสุดและแปลภาษา

ภาพ Pexels/Julio Lopez

Cameron Roth หนึ่งในผู้พัฒนาแอปได้มีการออกมาพูดถึงเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ที่จะมีการอัปเดตเข้าไปใน Threads

1 . ฟิเจอร์ “ผู้ติดตามล่าสุด” โดยฟีเจอร์นี้จะอยู่ในหน้าต่างกิจกรรมและจะคอยแสดงให้เราได้เห็นว่าใครที่มาติดตามเราล่าสุด

2. ฟิเจอร์ “แปลภาษา” ฟีเจอร์นี้จะถูกใส่ไว้บริเวณด้านขวาของปุ่มแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะใช้ AI ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Instagram

ภาพ Pexels/Julio Lopez

อย่างไรก็ดีฟีเจอร์ที่ถูกอัปเดตมานั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากเท่าที่ควร เพราะว่าปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้งาน Threads วิพากษ์วิจารณ์การเป็นจำนวนมากก็คือหน้าฟีดของ Threads ที่ดูรกเกินไป ปัจจุบันนี้หน้าฟีดที่คอยแสดงโพสต์ต่าง ๆ นั้นได้รวมโพสต์ของทั้งคนที่เราติดตามและไม่ได้ติดตามเอาไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานรับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไปนั่นเอง ซึ่งปัญหานี้ทางผู้พัฒนาก็ทราบเป็นอย่างดีและก็อยู่ในลิสต์ของการอัปเดตด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ นี้หรือไม่เพราะในการอัปเดตฟีเจอร์ครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการพูดถึงมันแม้แต่น้อย หากปล่อยปัญหานี้ไว้นานจำนวนผู้ใช้งาน Threads อาจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลยก็ได้


ข้อมูลจาก IGN

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Google Play เปลี่ยนนโยบายใหม่เปิดรับ NFT

Google Play เปลี่ยนนโยบายใหม่เปิดรับ NFT

กระแสคริปโตเคอเรนซี่และเทคโนโลยีบล็อกเชนเริ่มจะซาลง เราเห็นได้ชัดว่าคนเริ่มพูดถึง NFT และ GameFi ลดลงอย่างมากรวมถึงบริษัทบางบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีก็เริ่มมีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวน้อยลงด้วยเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้มันดำรงอยู่การลองพัฒนาหรือการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อนำมาใช้ควบคู่ในการดำเนินธุรกิจก็เกิดขึ้นได้เสมอ Google ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายใน Google Play เพื่อนำ NFT และบล็อกเชนกับมาอีกครั้ง

นโยบายและข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้บล็อกเชนในการทำเกม

ภาพ Pixabay/ Maiconfz

Google ได้มีการปรับนโยบายของ Marketplace อย่าง Google Play ใหม่อีกครั้งโดยอนุญาตให้นักพัฒนา Apps สามารถที่จะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนและ NFTs เข้าไปใส่ในเกมที่วางขายอยู่ใน Google Play ได้ แต่ต้องทำตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้ดังนี้

  • Application ต้องมีความโปร่งใสกับผู้ใช้งานโดยเฉพาะกับสินทรัพย์ดิจิตอล
  • ผู้พัฒนาไม่สามารถที่จะโปรโมทเกมโดยใช้รูปแบบของ Play to earn หรือ Trading ได้

แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการพนัน การเล่นเกม การแข่งขัน โดยที่มีเงินจริงเข้ามาเกี่ยวข้องถือว่าละเมิดต่อนโยบายของ Google Play และจะถูกห้ามเอาไว้ รวมไปถึงการเติมเงินเพื่อให้สามารถรับไอเทม NFTs ที่ดีกว่าคนอื่น อย่างไรก็ดีการเติมเงินเพื่อซื้อ Loot Boxes แบบสุ่มไอเทม จะอยู่ในข้อจำกัดนี้แต่ไม่ได้ห้ามเอาไว้

ด้วยนโยบายต่าง ๆ ข้างต้นจะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นใหม่หลงเชื่อว่าการเติมเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งไอเทม NFTs จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกลับมา

ภาพ Wallpaperaccess

โดยทางบริษัทคาดว่าจะมีการเปิดให้บริการเกมรูปแบบใหม่นี้ในช่วงปลายฤดูร้อนที่จะถึงนี้ และจะมีการปล่อยให้ผู้พัฒนาทุกคนได้เข้ามาพัฒนา Application ในช่วงปลายเดือนนี้หลังจากที่ได้มีการทดสอบกับกลุ่มพัฒนาบางกลุ่มก่อน

นอกจากเรื่องของการพัฒนาแอป ในอนาคต Google Play นั้นได้มีการวางแผนกับบริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีบล็อกเชนเป็นฐานด้วย เรียกได้ว่าตอนนี้ Google เริ่มก้าวนำในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain แต่ก่อนคู่แข่งอย่าง Apple เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องคอยติดตามว่า Apple จะมีการตอบโต้อย่างไร

ข้อมูลจาก Techcruch

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook