Apple โดนแบนในประเทศจีน ย้ายฐานผลิตไปอินเดีย

Apple โดนแบนในประเทศจีน ย้ายฐานผลิตไปอินเดีย

Apple บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศอเมริกาถูกประเทศจีนสั่งแบน ทำให้หุ้นของบริษัทร่วงลงมาอย่างรวดเร็วโดยเมื่อวันพุธราคาของหุ้น Apple ร่วงลงมากกว่า 4% ต่อด้วยวันพฤหัสบดีลงมาอีก 3%

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนมีนโยบายกีดกันการ ค้าซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองประเทศไม่ยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีของกันและกันนั่นเอง ซึ่งทางรัฐบาลจีนก็ได้ออกประกาศให้พนักงานที่ทำงานภายใต้รัฐบาลจีนห้ามใช้โทรศัพท์ iPhone ของ Apple ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้หุ้นของ Apple ร่วงลงมาโดยทันทีและที่สำคัญเลยก็คือตลาดจีนไม่ว่าจะเป็นประเทศไต้หวัน เมืองฮ่องกง และประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของ Apple ตีเป็นมูลค่า 18% ของยอดรายได้ 394 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ภาพ Pexels/Matcuz

นอกจากจะทำให้หุ้นร่วงแล้วการสั่งแบนในครั้งนียังทำให้ยอดขายของ Apple ลดลงอีก 5% ด้วย แถมถ้ารัฐบาลจีนมีการสั่งแบนอย่างต่อเนื่องทุก ๆ วันก็มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนใน ประเทศจีนส่วนใหญ่อาจจะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์รุ่นอื่นแทน iPhone ของ Apple ก็เป็นได้ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปิดตัวโทรศัพท์ Huawei mate 60pro ซึ่งก็ได้ผลตอบรับจากประชาชนในประเทศจีนเป็นอย่างดีส่วนแบ่งของ Apple ก็อาจจะลดลงไปอีกในประเทศจีน

ภาพ Pexels/652234

อีกหนึ่งปัญหาที่ทาง Apple ก็ได้หาทางแก้ไขไปแล้วนั่นก็คือศูนย์กลางการผลิตส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ Apple มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่ประเทศจีนแต่ก็ได้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน เพื่อหาทางหนีทีไล่บริษัท Apple ก็เริ่มย้ายศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีไปที่ประเทศอินเดียแล้ว โดยจะตั้งโรงงานการผลิตในรัฐ Telangana โดยในช่วงเฟสแรกของการทำงานจะจ้างพนักงานจำนวนกว่า 25,000 คนย้ายฐานผลิตไปอินเดีย หลังจากที่ตั้งโรงงานแรกเสร็จสิ้นก็จะไปตั้งโรงงานอีกหนึ่งโรงงานในรัฐ Karnataka ซึ่งการย้ายฐานการผลิตมาครั้งนี้ก็เหมือนมาถูกที่ด้วยเช่นเดียวกันเพราะประเทศอินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มียอดการขายโทรศัพท์ iPhone ของ Apple สูงโดย 4% จากยอดขายทั้งหมดในไตรมาสที่ 2 ก็มาจากประเทศอินเดีย

ข้อมูลจาก CNBC Apple shares fall after reports that China banned iPhone use by government employees

CNBC India is now one of Apple’s top 5 iPhone markets for the first time

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ซึ่งปัจจุบัน หลาย ๆ ที่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าเซลล์ นอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วการใช้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ยังช่วยลดค่าไฟได้อีกด้วย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย จำเป็นที่จะต้องใช้ความชำนาญและหามุมที่ถูกต้องเพื่อสร้างพลังงานให้ได้มากที่สุด ซึ่ง Google ได้มีการพัฒนาโปรเจค Sunroof ช่วยในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เมื่อปีที่ผ่านมาและก็ได้ต่อยอดให้กลายเป็น Solar API

ภาพ Google map platform

Solar API เป็นเหมือนคลังข้อมูลในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านโดยมันจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พื้นที่ของอาคาร, ขนาด และ ปริมาณของแสงอาทิตย์ รวมไปถึงข้อมูลโดยละเอียดเช่นขนาดและความลาดของหลังคา และผลิตภัณฑ์พลังงานจากระบบโซลาร์บนหลังคา ซึ่งข้อมูลจะย้อนหลัง 1 ปี โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเว็บไซต์ตลาดโซลาร์, ผู้ติดตั้งโซลาร์, นักพัฒนา SaaS, และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการติดตั้งโซลาร์

นอกจากจะช่วยให้การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เป็นเรื่องง่ายแล้ว Solar API ยังใช้ระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเหลือทำให้จะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการการติดตั้ง จุดคุ้มทุนที่ลงทุนเพื่อติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ อัตราการประหยัดพลังงาน ค่าไฟต่อปี และ อัตราการประหยัดพลังงานต่อปี เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่คำนวณให้หมดว่าคุ้มต่อการติดตั้งหรือไม่ ซึ่งระบบบางอย่างของ Solar API จะสามารถใช้งานได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ภาพ Google map platform

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยให้เป้าหมายของ Google ประสบความสำเร็จเนื่องจากทางบริษัทมีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 Google จะช่วยให้บุคคล, เมือง และลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้มากถึง 1 กิ๊กกะตันต่อปี ซึ่งการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้กลายเป็นมุดหมายสำคัญที่บริษัทใหญ่พยายามที่จะทำให้ได้ในอนาคตโดยการพยายามใช้พลังงานสะอาดหรือการรีไซเคิลมากขึ้นเพราะในตอนนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่แก้ได้ยาก

ข้อมูลจาก Google

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Threads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้วThreads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้วThreads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว

Threads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว

          Threads แอปพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท Meta ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นคู่แข่งของทวิตเตอร์ได้มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่เข้ามา ซึ่งได้ถูกเปิดเผยจากโพสต์ของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก  CEO ของบริษัท โดยมีฟีเจอร์ดังนี้

  • แชร์โพสต์ไปที่ Instagram 
  •  ทำ Alt Text  ในรูปภาพและวีดีโอ
  • กล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น

วิธีการใช้งานฟีเจอร์ใหม่

การแชร์โพสต์ไปที่ Instagram เมื่อผู้ใช้งานเข้าใช้ Threads ใต้โพสต์ของเราหรือคนที่เราติดตามจะมีรูปเครื่องบินกระดาษ เมื่อกดเข้าไปแล้วเราสามารถแชร์โพสต์นั้นๆไปที่ Instagram ได้ไม่ว่าจะเป็นกล่องข้อความ, แชร์ลงสตอรี่, โพสต์ไปยังหน้าฟีด และสามารถแชร์ไปที่ X ได้ด้วย ถ้าต้องการแบ่งปันไปยัง แอปอื่น ๆ ก็สามารถกดคัดลอกลิงค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพ Pexels/Julio Lopez

ทำ Alt Text  ในรูปภาพและวีดีโอ ในการทำ Alt Text บนรูปภาพและวีดีโอใน Threads ให้ผู้ใช้งานสร้างโพสต์ขึ้นมาและกดที่เครื่องหมายคลิปหนีบกระดาษหลังจากนั้นทำการแนบรูปภาพและวีดีโอ โดยบริเวณใต้รูปภาพที่เราได้แนบจะมีข้อความขึ้นมาว่า “Alt Text (ข้อความกำกับภาพ)” เมื่อเรากดเข้าไปเราสามารถพิมพ์ข้อความกำกับรูปภาพได้นั่นเอง 

การกล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น  เราสามารถกล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ได้โดยการใช้เครื่องหมาย @ ตามด้วยชื่อ บัญชีของคนที่ถูกกล่าวถึง

ภาพ Pexels/Julio Lopez

          การอัพเดทครั้งนี้เหมือนเป็นการเพิ่มฟีเจอร์ที่มีอยู่ใน Instagram เข้ามาใน Threads ซึ่งฟิเจอร์เหล่านี้การอัพเดทที่มีประโยชน์แต่ก็ควรมีตั้งแต่แอปเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานยังคงรอการอัพเดทครั้งใหญ่อย่าง การใช้งานผ่านเว็บไซต์ และ ประสิทธิภาพการค้นหา ซึ่งในส่วนนี้มาร์คซัคเคอร์เบิร์กก็ยังบอกอีกด้วยว่าจะมีการอัพเดทให้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า 

          ถึงแม้ว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้าไปจะทำให้ Threads มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นแต่สิ่งสำคัญเลยก็คือตอนนี้ผู้ใช้งานเริ่มลดลงนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม Threads กลายเป็น สื่อสังคมออนไลน์ที่มีคนใช้งานถึง 100 ล้านคนได้รวดเร็วมากที่สุด แต่หลังจากนั้นความนิยมก็เริ่มลดลง ทำให้ปลายเดือนกรกฎาคมผู้ใช้งาน Threads ลดลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด  ทำให้ตอนนี้ทาง CPO ของบริษัทให้พนักงานช่วยกันโฟกัสกับการที่ดึงคนกลับมาใช้งานให้ได้มากที่สุด ก็ต้องมาดูว่า Threads จะสามารถสู้กับ X ในระยะยาวได้หรือไม่

ข้อมูลจาก The Verge , BBC 

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท X กำลังทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างแพลตฟอร์ม X ให้กลายเป็น Super App อย่างที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X เขาก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตลอดว่าเขาต้องการทำให้ X เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านของการเงิน แอป X ในอนาคตอาจจะควบคุมการเงินโลกได้ ซึ่งล่าสุดเขาก็เดินหน้าตามแผนการดังกล่าวนั้นเริ่มต้นจากยื่นข้อเสนอกับบริษัทข้อมูลการเงินยักษ์ใหญ่ เพื่อพัฒนา Trading Hub ในX

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรายงานจาก Semafor ว่า X ได้มีการยื่นข้อเสนอเพื่อพูดคุยกับบริษัทข้อมูลทางการเงินเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก X ต้องการข้อมูลการเงินและข้อมูลของตลาดหุ้นแบบ Real Time เพื่อพัฒนาให้ Trading Service ในแอป X อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าบริษัทไหนที่จะตอบรับข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เพื่อสร้างโปรเจคนี้ อีกหนึ่งเรื่องก็คือในข้อเสนอที่ทาง X ไม่ได้มีการพูดถึงค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีการถามถึงเงินลงทุนที่ทางบริษัทจะมาลงทุน ทำให้ในตอนนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีบริษัทไหนที่จะมาร่วมโปรเจคกับทาง X

ก่อนหน้านี้X ได้มีการนำข้อมูลทางการเงินเข้ามาในแพลตฟอร์มตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยได้มีการร่วมเป็น partner กับ Etoro ที่เป็นบริษัทการลงทุน ทำให้ผู้ใช้งาน X สามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นคริปโต, หุ้น และ อื่นๆ นอกจากสามารถดูทรัพย์สินต่างๆ อีลอน มัสก์ยังวางแผนที่จะทำระบบการชำระเงินด้วยเงิน Fiat บน X และในอนาคตอาจจะชำระเงินด้วยคริปโตได้ด้วยเช่นเดียวกันนำมาโดยเหรียญ Doge Coin

ภาพ X/Elon Musk

อีลอน มัสก์มีความฝันที่จะสร้าง Super App ที่ครบจบในแอปเดียวไม่ว่าจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ซื้อของขายของ และอื่น ๆ เหมือนกับ WeChat ของประเทศจีน หรือ LINE ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของทั้งหมดคือการ รีแบรนด์จาก Twitter เป็น X และเขาก็ได้พูดแผนการคร่าวๆ ที่จะทำกับ X ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องดูว่าตัวเขาจะพัฒนาให้ X เป็นแอปที่สามารถควบคุมการเงินของโลกได้จริงหรือไม่ แล้วจะมีฟังก์ชันอื่นๆ เหมือนกับ WeChat หรือ LINE มากน้อยเพียงใด

ข้อมูลจาก Firstpost , Coinspeaker

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ชาวอเมริกันไม่ถูกใจ X ยอดรีวิวต่ำ

ชาวอเมริกันไม่ถูกใจ X ยอดรีวิวต่ำ

Twitter ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายหลังจากที่ Elon Musk เข้ามาซื้อบริษัท และเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาก็ได้มีการรีแบรนด์จาก Twitter ให้เป็น “X” แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจชาวอเมริกันบางกลุ่ม

Sensor Tower บริษัทให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชันและการตลาดบนมือถือ เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากที่Twitter มีการเปลี่ยนชื่อเป็นX ในช่วงสัปดาห์นั้นมียอดการติดตั้งแอปเพิ่มขึ้น 20% และมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 3-4% รวมถึง CEO คนปัจจุบันอย่าง Linda Yaccarino ก็ได้ออกมายืนยันด้วยเช่นกันว่า การใช้งานแอปพลิเคชันอยู่ในระดับสูงที่สุดตลอดกาล รวมถึง Elon Musk ได้โพสต์บอกว่าผู้ใช้รายเดือนได้เพิ่มขึ้นถึงระดับสูงใหม่ในปีนี้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลนี้ก็ดูเหมือนว่า X จะเติบโตไปในทิศทางที่ดี แต่ว่าคะแนนรีวิวดูเหมือนว่าจะสวนทางกัน

ภาพ Twitter/Elon Musk

Sensor Tower ได้เปิดเผยข้อมูลอีกด้วยว่าคะแนนรีวิวแอป X บนร้านค้า App Store ในสหรัฐอเมริกา แย่มากโดยเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน 50% ของยอดรีวิวทั้งหมดให้คะแนนการรีวิวเพียงแค่ 1 ดาว และก็เพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 78% แล้ว โดยคอมเม้นส่วนใหญ่จะแสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันเช่น

“ เอานกของเราคืนมา”

“ พวกเราขอนกคลื่น”

“ แอป X คืออะไร”

“ แอปดี ๆ กลายเป็นแย่”

จากข้อความรีวิวที่คนเข้ามารีวิวการแสดงให้เห็นแล้วว่าการให้คะแนนเพียงแค่ 1 ดาวไม่ได้เจาะจงไปที่การรีแบรนด์ของบริษัท แต่จะพวกเขาไม่พอใจกับโลโก้และชื่อของแอปเสียมากกว่า

สิ่งที่แย่ตามมาเลยก็คือการเปลี่ยนแปลงและข้อจำกัดต่าง ๆ Elon Musk ที่สร้างขึ้นจะทำให้ ระยะเวลาการใช้งานของ X ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้ใช้งานใช้เวลากับแอปน้อยลง 7% ต่อสัปดาห์ และเมื่อแบ่งเป็นเซสชั่นประจำวันลดลงถึง 6%

ภาพ Twitter/Elon Musk

การเปลี่ยนแปลงของ X นอกจากจะทำให้คะแนนรีวิวลดลงแล้ว มันยังเป็นปัญหาในการค้นหาใน Microsoft Edge เนื่องจากระบบของเว็บเบราว์เซอร์ดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีปัญหาและคิดว่าเป็นสแกม แและยังมีปัญหากับประเทศอินโดนีเซียเนื่องจากชื่อเว็บไซต์นั้นมีความคล้ายคลึงกับเว็บหนังผู้ใหญ่ซึ่งละเมิดกฎระเบียบของประเทศอินโดนีเซียนั่นเอง

เรียกได้ว่า Elon Musk ยังมีงานให้ทำอีกเยอะเลยเพื่อที่จะทำให้X กลายเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งาน และไม่ไปละเมิดกฎระเบียบของประเทศอื่น ๆ

ข้อมูลจาก Techcruch , Engadget

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Meta ปรับใหม่ เด็กอายุ 10 ขวบก็ใช้งานแว่น VR ได้แล้ว

Meta ปรับใหม่ เด็กอายุ 10 ขวบก็ใช้งานแว่น VR ได้แล้ว

โดยปกติแล้วสื่อสังคมออนไลน์ที่เราใช้งานกันเป็นประจำอย่างเช่น Facebook และ Instagram ที่อยู่ในการดูแลของบริษัท Meta จะมีการจำกัดอายุในการใช้งานไม่ต่ำกว่า 13 ปี เพื่อป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนแต่ว่าเป็นที่รู้ ๆ กันว่ามีเด็กจำนวนมากมายที่ได้มีการเปลี่ยนข้อมูลอายุเพื่อเข้ามาใช้งาน สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าเราไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงกับเด็กและเยาวชนได้ ดังนั้นทางบริษัท Meta จึงพยายามที่จะพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์สำหรับเด็กเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามหรือผลกระทบในด้านลบกับเด็กและเยาวชนที่มาใช้งาน

ภาพ Meta Quest

นอกจากสื่อสังคมออนไลน์โดยทั่วไปแล้วบริษัท Meta ได้มีการพัฒนาโลกเสมือนจริงหรือ Metaverse ด้วยโดยใช้เทคโนโลยี VR ผ่านแว่นตาที่มีชื่อว่า Meta Quest และเช่นเดียวกับ Facebook การใช้งานแว่นตา Meta Quest ก็มีการจำกัดอายุอยู่ที่ 13 ปีเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าบริษัท Meta จะมีการปรับใหม่ให้มีการจำกัดอายุอยู่เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น โดยข้อบังคับใหม่นี้ใช้กับบัญชี Meta Quest 2 และ Meta Quest 3 โดย Meta ให้เหตุผลว่าบริษัทรู้ว่าเด็กต้องการที่จะใช้งานแว่นตา VR ของพวกเขา พวกเราจะให้พวกเขาได้ใช้งานแต่จะมีการจำกัดการเข้าถึงของพวกเขาดีกว่าให้พวกเขามาใช้ข้อมูลอายุปลอมในการเข้าเล่น

ภาพ Meta Quest

เมื่อเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 10 – 12 ปีได้มีการสร้างโปรไฟล์ Meta Quest ขึ้นมาระบบ จะเปลี่ยนให้โปรไฟล์ของพวกเขาเป็นโปรไฟล์ส่วนตัวตั้งแต่เริ่มต้น และจะจำกัดแอปพลิเคชันให้พวกเขาได้ใช้งาน โดยการสมัครเพื่อสร้างบัญชีเพื่อใช้งานแว่นตา Meta Quest เด็กและเยาวชนเหล่านี้ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ปกครอง รวมถึงผู้ปกครองของเด็กจะเป็นคนเดียวที่สามารถที่จะปิดระบบความปลอดภัยได้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรเมื่อสวมแว่นตา VR ของ Meta เด็ก ๆ ก็จะอยู่ในการควบคุมดูแลของผู้ปกครองอยู่อย่างเสมอ แต่อย่างไรก็ตามเยาวชนที่มีอายุ 10-12 ปีจะยังไม่สามารถเข้าใช้งาน Horizon Worlds ได้ แต่ก็ต้องดูต่อไปว่าในอนาคตบริษัท Meta จะมีการปรับเปลี่ยนให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีเข้าใช้งาน Horizon Worlds หรือไม่ สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการจะซื้อแว่นตา Meta Quest ให้ลูกเล่นสามารถดูรายละเอียดในการดูแลการเข้าถึงการใช้งานได้ที่ Meta

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

อีลอนบอก! เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์เขียนบทความใน Twitter

อีลอนบอก! เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์เขียนบทความใน Twitter

Twitter สื่อสังคมออนไลน์ที่กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Threads กำลังจะเตรียมการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ให้กับผู้ใช้งาน ข้อมูลนี้ได้จากอีลอนมัสก์ โดยเจ้าตัวได้ออกมาตอบผู้ติดตามของเขาว่าTwitter กำลังมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ให้กับผู้ใช้งาน โดยจะอนุญาตให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถเขียนบทความที่มีความยาวและซับซ้อนได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ที่ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถเขียนข้อความที่ยาวเหมือนเขียนหนังสือได้นั้นจะเปิดใช้ให้กับทุกคนหรือเฉพาะกับคนบางกลุ่มที่สมัคร Twitter Blue เพราะว่าในตอนนี้สำหรับคนที่ไม่ได้สมัคร Twitter Blue จะเขียนข้อความได้แค่เพียง 280 ตัวอักษรเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากคนที่สมัครเอาไว้ที่จะสามารถเขียนตัวอักษรได้มากถึง 1,000 ตัวอักษร ซึ่งข้อจำกัดของการพิมพ์ตัวอักษรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้คนที่ชื่นชอบในการเขียนโพสต์ยาว ๆ ไม่นิยมใช้งาน Twitter

ภาพ Pexels/Brett Jordan

จุดที่น่าจะยังเป็นคำถามก็คืออีลอนมัสก์จะเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้กับทุกคนหรือไม่เพื่อเรียกผู้ใช้งานรายใหม่ให้มาใช้งาน Twitter เพิ่มมากขึ้น หรือจะบรรจุไว้แค่เพียง Twitter Blue เพื่อเรียกผลตอบแทนต่อไปแต่ก็อาจจะไม่ได้ผู้ใช้รายใหม่เข้ามา และที่สำคัญถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาบอกว่ากำลังพัฒนาฟีเจอร์การเขียนบทความนี้อยู่แต่ก็ยังไม่ได้ระบุวันที่จะมีการอัปเดตให้ใช้งานเมื่อใด มันอาจจะมีการอัปเดตอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้หรือจะเป็นเจ้าตัวที่จะออกมาประกาศอีกทีว่า Twitter กำลังมีฟิเจอร์ใหม่ออกมา

ภาพ Pexels/Pixabay

Twitter มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายหลังจากที่เปลี่ยนเจ้าของใหม่ แถมเริ่มมีคู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วยดังนั้นการเพิ่มหรือมีการอัปเดตสิ่งต่าง ๆ เข้าไปเพื่อทำให้แพลตฟอร์มนั้นเป็นที่นิยมมากขึ้นก็เป็นส่วนสำคัญมิฉะนั้นอาจจะเจอคู่แข่งอย่าง Threads ขโมยยอดผู้ใช้งานไปมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม Twitter ก็ยังมีจุดเด่นในด้านของเนื้อหาภายในแพลตฟอร์มซึ่งแตกต่างจาก Threads ที่มีข้อกำหนดมากกว่า จุดเด่นของทั้งสองแพลตฟอร์มนั้นมีความแตกต่างกันมากถ้า Twitter สามารถที่จะดึงจุดเด่นของตัวเองออกมาได้ผู้ใช้งานก็อาจจะสนใจใช้งานต่อไปก็เป็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Threads เตรียมอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

Threads เตรียมอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

หลังจากที่บริษัท Meta เปิดตัวสื่อสังคมออนไลน์ใหม่อย่างThreads ก็ได้กระแสตอบรับอย่างถล่มทลายเพียงเวลาไม่กี่วันก็มียอดเข้ามาใช้งานเกินกว่า 100 ล้านบัญชีแล้วเรียกว่าเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดเลยก็ว่าได้ แม้จะเปิดตัวได้อย่างสวยงามแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้ทางผู้พัฒนาจะต้องรีบเร่งออกมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยมีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่เข้าไป มีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนะ แล้วมันจะช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ได้หรือไม่มาติดตามกัน

Threads เพิ่มฟีเจอร์แสดงผู้ติดตามล่าสุดและแปลภาษา

ภาพ Pexels/Julio Lopez

Cameron Roth หนึ่งในผู้พัฒนาแอปได้มีการออกมาพูดถึงเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ที่จะมีการอัปเดตเข้าไปใน Threads

1 . ฟิเจอร์ “ผู้ติดตามล่าสุด” โดยฟีเจอร์นี้จะอยู่ในหน้าต่างกิจกรรมและจะคอยแสดงให้เราได้เห็นว่าใครที่มาติดตามเราล่าสุด

2. ฟิเจอร์ “แปลภาษา” ฟีเจอร์นี้จะถูกใส่ไว้บริเวณด้านขวาของปุ่มแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะใช้ AI ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Instagram

ภาพ Pexels/Julio Lopez

อย่างไรก็ดีฟีเจอร์ที่ถูกอัปเดตมานั้นยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากเท่าที่ควร เพราะว่าปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้งาน Threads วิพากษ์วิจารณ์การเป็นจำนวนมากก็คือหน้าฟีดของ Threads ที่ดูรกเกินไป ปัจจุบันนี้หน้าฟีดที่คอยแสดงโพสต์ต่าง ๆ นั้นได้รวมโพสต์ของทั้งคนที่เราติดตามและไม่ได้ติดตามเอาไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานรับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไปนั่นเอง ซึ่งปัญหานี้ทางผู้พัฒนาก็ทราบเป็นอย่างดีและก็อยู่ในลิสต์ของการอัปเดตด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ นี้หรือไม่เพราะในการอัปเดตฟีเจอร์ครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการพูดถึงมันแม้แต่น้อย หากปล่อยปัญหานี้ไว้นานจำนวนผู้ใช้งาน Threads อาจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลยก็ได้


ข้อมูลจาก IGN

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Threads มาแรง ผู้ใช้งานถึง 100 ล้านบัญชีใน 4 วัน

Threads มาแรง ผู้ใช้งานถึง 100 ล้านบัญชีใน 4 วัน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท Meta ยักษ์ใหญ่สื่อสังคมออนไลน์ของ Mark Zuckerberg ได้มีการเปิดตัวสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มใหม่ที่มีชื่อว่า “Threads” มาเป็นคู่แข่งของ Twitter ซึ่งกระแสตอบรับก็ดีมากเลยทีเดียว และมันก็ได้กลายเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่มียอดผู้ใช้งานพุ่งถึง 100 ล้านบัญชีได้เร็วที่สุดใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น โดยสามารถทำลายสถิติเดิมของ Chatgpt ไปได้

และถึงแม้ว่าตอนนี้ Threads จะยังมีหน้าฟีดที่ยังไม่เสถียรมากนักแต่ทาง Adam Mosseri ก็บอกว่าจะมีการปรับปรุงเวอร์ชันในอนาคตโดยจะปรับการแสดงผลให้แสดงผลเฉพาะผู้ที่ผู้ใช้งานกำลังติดตามอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ยังจะมีการเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ เข้ามาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขโพสต์ การแปลภาษา การสลับบัญชี แต่ก็ยังไม่ได้มีการพูดถึงฟีเจอร์การส่งข้อความ

ความร้อนแรงของ Threads ได้ดึงดูดผู้ใช้งานจาก Twitter เข้ามาใช้งานด้วยหลังจากที่แพลตฟอร์มนกสีฟ้านั้นเริ่มมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้ใช้งาน แถมข้อจำกัดของ Threads ในการเขียนโพสต์ยังดีกว่า Twitter อีกด้วย ความเหมือนกันของทั้ง 2 แพลตฟอร์มนี้ทำให้เกิดการแข่งขันกันอยู่ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว แต่ความคล้ายกันก็ได้นำไปสู่ประเด็นการละเมิดสินทรัพย์ทางปัญญา

Twitter ฟ้อง Threads ละเมิดสินทรัพย์ทางปัญญา

ภาพ Pixabay/raphaelsilva

ได้มีการรายงานข่าวจากสำนักข่าว Semafor ว่าทวิตเตอร์ได้มีการส่งจดหมายขู่ฟ้องไปยัง Mark Zuckerberg ว่าด้วยเรื่องบริษัท Meta มีการละเมิดสินทรัพย์ทางปัญญาของ Twitter

ซึ่งทางทนายความของทาง Twitter ได้กล่าวไว้ว่า “บริษัทนั้นมีความกังวลมากว่าทางบริษัท Meta ได้มีการนำข้อมูลความลับทางการค้าของ Twitter รวมไปถึงสินทรัพย์ทางปัญญาอื่น ๆ โดยเจตนาและมิชอบด้วยกฎหมาย” นอกจากการส่งจดหมายฟ้องแล้วยังได้มีการอ้างอีกด้วยว่าทาง Meta ได้มีการจ้างอดีตพนักงานของทาง Twitter ไปช่วยในการพัฒนาแอปก่อนที่จะเปิดตัว “Threads” เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น

ภาพ wallpapers.com/MarkZuckerberg, Wallpaperaccess/Elonmusk

เรียกได้ว่าประเด็นความร้อนระอุระหว่าง Mark Zuckerberg กับ Elon Musk ไม่จบอยู่เพียงเท่านี้แน่นอนและจะทวีความร้อนแรงขึ้นไปอีกหรือไม่ก็ยังไม่รู้ นับตั้งแต่ได้มีการท้ากันขึ้นสังเวียนชก ทั้งคู่ก็มีประเด็นให้จับตามองกันอยู่อย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งคู่จะจบลงด้วยดีหรือไม่ก็คงต้องติดตามต่อไป

ข้อมูลจาก PPTV36

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Google Play เปลี่ยนนโยบายใหม่เปิดรับ NFT

Google Play เปลี่ยนนโยบายใหม่เปิดรับ NFT

กระแสคริปโตเคอเรนซี่และเทคโนโลยีบล็อกเชนเริ่มจะซาลง เราเห็นได้ชัดว่าคนเริ่มพูดถึง NFT และ GameFi ลดลงอย่างมากรวมถึงบริษัทบางบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีก็เริ่มมีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวน้อยลงด้วยเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้มันดำรงอยู่การลองพัฒนาหรือการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อนำมาใช้ควบคู่ในการดำเนินธุรกิจก็เกิดขึ้นได้เสมอ Google ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายใน Google Play เพื่อนำ NFT และบล็อกเชนกับมาอีกครั้ง

นโยบายและข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้บล็อกเชนในการทำเกม

ภาพ Pixabay/ Maiconfz

Google ได้มีการปรับนโยบายของ Marketplace อย่าง Google Play ใหม่อีกครั้งโดยอนุญาตให้นักพัฒนา Apps สามารถที่จะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนและ NFTs เข้าไปใส่ในเกมที่วางขายอยู่ใน Google Play ได้ แต่ต้องทำตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้ดังนี้

  • Application ต้องมีความโปร่งใสกับผู้ใช้งานโดยเฉพาะกับสินทรัพย์ดิจิตอล
  • ผู้พัฒนาไม่สามารถที่จะโปรโมทเกมโดยใช้รูปแบบของ Play to earn หรือ Trading ได้

แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการพนัน การเล่นเกม การแข่งขัน โดยที่มีเงินจริงเข้ามาเกี่ยวข้องถือว่าละเมิดต่อนโยบายของ Google Play และจะถูกห้ามเอาไว้ รวมไปถึงการเติมเงินเพื่อให้สามารถรับไอเทม NFTs ที่ดีกว่าคนอื่น อย่างไรก็ดีการเติมเงินเพื่อซื้อ Loot Boxes แบบสุ่มไอเทม จะอยู่ในข้อจำกัดนี้แต่ไม่ได้ห้ามเอาไว้

ด้วยนโยบายต่าง ๆ ข้างต้นจะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นใหม่หลงเชื่อว่าการเติมเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งไอเทม NFTs จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกลับมา

ภาพ Wallpaperaccess

โดยทางบริษัทคาดว่าจะมีการเปิดให้บริการเกมรูปแบบใหม่นี้ในช่วงปลายฤดูร้อนที่จะถึงนี้ และจะมีการปล่อยให้ผู้พัฒนาทุกคนได้เข้ามาพัฒนา Application ในช่วงปลายเดือนนี้หลังจากที่ได้มีการทดสอบกับกลุ่มพัฒนาบางกลุ่มก่อน

นอกจากเรื่องของการพัฒนาแอป ในอนาคต Google Play นั้นได้มีการวางแผนกับบริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีบล็อกเชนเป็นฐานด้วย เรียกได้ว่าตอนนี้ Google เริ่มก้าวนำในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain แต่ก่อนคู่แข่งอย่าง Apple เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องคอยติดตามว่า Apple จะมีการตอบโต้อย่างไร

ข้อมูลจาก Techcruch

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook