YouTube ควรทำอย่างไร หลังครีเอเตอร์โดนแฮกช่อง

YouTube ควรทำอย่างไร หลังครีเอเตอร์โดนแฮกช่อง

ครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์ม YouTube กำลังเผชิญกับปัญหาการถูกผู้ไม่หวังดีแฮกช่องเพื่อใช้ในการทำวัตถุประสงค์หลอกลวง โดยล่าสุดช่องที่ถูกแฮกไปมีชื่อว่า “Linus Tech Tips” โดยช่องดังกล่าวเป็นช่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการรีวิวอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มีผู้ติดตามมากกว่า 15.3 ล้านผู้ติดตาม โดยในปัจจุบันได้ถูกแฮกเกอร์เปลี่ยนชื่อช่องและใช้ช่องในการไลฟ์สตรีมโปรโมทเหรียญคริปโตที่เป็นสแกม นอกจากนี้ยังมีช่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่องอื่นๆ ที่อยู่ในเครือของ Linus Media Group ถูกแฮกด้วยเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Techquickle และ TechLinked

หลังจากที่ครีเอเตอร์ที่เป็นเจ้าของช่องดังกล่าวรู้ตัวแล้วว่าช่องของตนถูกแฮกไปก็ได้มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของ Google เพื่อหาทางออกร่วมกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งรวมถึงช่องอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีการคาดการณ์ไว้ว่าการแฮกครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่การที่ Password และ 2 FA ถูกเจาะ ซึ่งปัญหานี้ YouTube ต้องรีบหาทางแก้ไข และก็ได้มีครีเอเตอร์รายหนึ่งบอกว่ามีสปอนเซอร์ปลอมส่งไฟล์มาให้ดาวน์โหลด และเมื่อมีการดาวน์โหลดไฟล์นั้นมันก็จะมีไวรัสที่จะสามารถควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์จากในระยะไกลได้ทำให้ช่องใน YouTube สามารถถูกยึดไปได้นั่นเอง

ภาพ Pixabay/B_A

โดย 1 ปีที่ผ่านมามีช่องใน YouTube ถูกแฮกไปไม่น้อยเลยทีเดียวตัวอย่างเช่นช่องของกองทัพสหราชอาณาจักรได้ถูกยึดเพื่อใช้ในการหลอกลวงการลงทุนเหรียญคริปโต หรือแม้แต่ที่เป็นข่าวดังมากที่สุดสำหรับ YouTube นั่นก็คือการถ่ายทอดสดงาน Apple Event ซึ่งเป็นการถ่ายทอดสดเพื่อหลอกลวงเอาเงินคริปโตเคอเรนซี่ โดยการถ่ายทอดสดดังกล่าวเป็นการปลอมแปลงจากแฮกเกอร์ นอกจากนี้ก็ยังมีช่องของคนดังมากมายถูกแฮกเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีอีกมากมาย

ภาพ Pixabay/TymonOziemblewski

ด้วยปัญหาเหล่านี้ YouTube ควรจะมีมาตรการป้องกันตัวอย่างเช่นโหมดล็อกดาวน์สำหรับคนที่มีผู้ติดตามเยอะ คือเมื่อมีการเข้าใช้จากเว็บเบราว์เซอร์หรือสถานที่อื่น ๆ จะไม่สามารถเปลี่ยนชื่อ, ลบวิดีโอ หรือ ทำการถ่ายทอดสดได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อมีการเข้าใช้งานจากสถานที่อื่น ๆ ให้มีการส่งแจ้งเตือนไปหาผู้ใช้งาน เพื่อให้มีการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เป็นการช่วยให้เจ้าของช่องสามารถเรียกคืนช่อง YouTube ได้ทันก่อนที่จะถูกแฮกไป นอกจากนี้ YouTube ควรเพิ่มระบบ Guardian System คือเมื่อมีการลบวีดีโอ, มีการเปลี่ยนชื่อช่อง หรือทำการเพิ่ม 2 FA จำเป็นที่จะต้องได้รับการยืนยันจากอีกหนึ่งบัญชีด้วยถึงจะดำเนินการได้ ซึ่งวิธีการนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยกำจัดปัญหานี้ไปได้ไม่มากก็น้อย

สุดท้ายแล้วก็ต้องติดตามดูว่า YouTube จะมีการอัปเดตอะไรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเหล่า ครเอเตอร์และผู้ใช้งานบ้าง เพราะถ้าปล่อยให้ปัญหานี้มีมากขึ้น ความนิยมของแพลตฟอร์มคงจะลดลงอย่างแน่นอน

ข้อมูลจาก The Verge

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อนาคตของ Tiktok ในอเมริกายังไร้คำตอบ หลัง CEO เข้าสภาคองเกรส

อนาคตของ Tiktok ในอเมริกายังไร้คำตอบ หลัง CEO เข้าสภาคองเกรส

เมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทยที่ผ่านมา CEO ของ Tiktok คุณ Shou Chew ได้มีการเข้าพูดต่อหน้าสภาคองเกรส เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ของชาวอเมริกา หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการต่อต้านTiktok ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเมืองระหว่างประเทศ โดย Tiktok เป็นแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท ฺBytedance ในประเทศจีน ทำให้ Tiktok ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการล้วงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนในประเทศสหรัฐอเมริกา

ภาพ Pixabay/solenfeyissa

คุณ Shou Chew ก็ได้ตอบคำถามหลายประเด็นในสภาเริ่มต้นจากเขาได้มีการปฏิเสธว่าบริษัท Bytedance ไม่ได้เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนแต่เป็นบริษัทในระดับโลก ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลของลูกค้า และสำหรับในเรื่องของการเก็บบันทึกข้อมูลของผู้ใช้บริการในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้มีโปรเจคที่ชื่อว่า “Project Texas” ที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลส่วนตัว โดย Project ดังกล่าวใช้เงินมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐและมีการร่วมงานกับบริษัท Oracle Corp.

ถัดจากเรื่องความปลอดภัยในการล้วงข้อมูลทางสภาคองเกรสก็ได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งาน โดยทางสื่อสังคมออนไลน์ปล่อยให้มีเนื้อหาที่มีความรุนแรงถูกเผยแพร่ และยังไม่มีมาตรการควบคุมความปลอดภัยของกลุ่มเยาวชนด้วย ซึ่งทาง Shou Chew ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยบอกว่าTiktok มีมาตรการดูแลเนื้อหาภายในสื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อกลุ่มเยาวชน และสำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีจะถูกตั้งค่าบัญชีให้เป็นบัญชีส่วนตัวและจะปิดรับการส่งข้อความโดยอัตโนมัติ

ภาพ Pixabay/Natalie_voy

ประเด็น 2 ประเด็นที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นประเด็นหลักที่ได้ถูกพูดถึงในสภาคองเกรสและสร้างความกดดันให้กับ CEO ของบริษัทเป็นอย่างมากแต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่ายังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับอนาคตของ Tiktok ว่าจะถูกระงับการใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ในส่วนนี้ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป และถึงแม้ว่ารัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาจะต่อต้านการใช้งาน Tiktok ในประเทศแต่กลุ่มประชาชนบางส่วนก็สนับสนุน Tiktok อยู่เช่นเดียวกัน

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tesla ถูกตรวจสอบ

Tesla

Tesla ถูกตรวจสอบ เล่นเกมขณะขับรถ

รถยนต์ Tesla  เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียวซึ่งจุดเด่นของมันนั้นก็คือฟังก์ชั่นที่หลากหลายภายในรถยนต์นะว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะหรือว่าจะเป็นการเล่นเกมส์บนรถยนต์ซึ่งได้ถูกอัพเดทมาเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาโดยมีการจับมือกับบริษัท AMD  บริษัทที่พัฒนาการ์ดจอและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเล่นเกม การที่บริษัท Tesla จับมือกับบริษัท AMD  ทำให้รถยนต์ของ Tesla ในบางรุ่นนั้นสามารถเล่นเกมระดับ AAA ตัวอย่างเช่นเกม Cyberpunk 2077 ซึ่งการที่มีเทคโนโลยีเช่นนี้ทำให้ผู้ที่ใช้รถยนต์ Tesla นั้นสามารถใช้รถยนต์เป็นแหล่งบันเทิงได้เลยทีเดียว

แต่ก็ดูเหมือนว่าการพัฒนาให้รถยนต์ให้เป็นแหล่งบันเทิงและสามารถเล่นเกมได้จะสร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศว่าพวกเขากำลังตรวจสอบรถยนต์ Tesla จำนวนครึ่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการเรียกร้องมาจาก NHTSA ( National Highway Traffic Safety Administration ) โดยมีการเรียกร้องตั้งแต่ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับผู้ขับขี่รถยนต์ Tesla สามารถใช้งาน Web Browser และเล่นเกมขณะที่กำลังขับรถได้ แม้ว่าฟังก์ชันในการเข้าถึงสื่อบันเทิงต่าง ๆ ที่อยู่บนรถยนต์ Tesla จะอนุญาตให้เพียงแค่ผู้โดยสารภายในรถยนต์เข้าถึงเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่ก็มีสิทธิ์เข้าถึงด้วยเช่นเดียวกัน และด้วยเหตุนี้ก็อาจจะทำให้ผู้ขับขี่ไม่มีสมาธิในการขับขี่และเกิดอุบัติเหตุได้ 

รถยนต์ของ Tesla จำนวนกว่า 580,000 คันจะถูกตรวจสอบจาก ODI (Office of Defects and Investigations) โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรถยนต์ในรุ่น Model 3, Model S, และ Model X ถูกผลิตในช่วงปี 2017 จนถึง 2022 โดยจะเป็นการตรวจสอบในเรื่องของการเข้าถึงสื่อบันเทิงภายในรถยนต์สำหรับผู้โดยสารและผู้ขับขี่เพื่อลดโอกาสการที่จะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ถึงแม้ว่า Tesla จะอนุญาตให้ผู้โดยสารสามารถที่จะเล่นเกมในช่วงที่รถยนต์จอดได้ก็ตามทีแต่ว่าหลังจากที่มีการอัพเดทใหม่ผู้โดยสารสามารถเล่นเกม Sky Force Reloaded, Solitaire, และ The Battle of Polytopia ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ได้  และถึงแม้ว่าการอัพเดทดังกล่าวจะเป็นการอัพเดทให้กับผู้โดยสารเพียงเท่านั้นแต่ว่าผู้ขับขี่ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ด้วยเช่นเดียวกัน 

ในปีนี้รถยนต์ของ Tesla กลายเป็นที่ถูกพูดถึงในเรื่องความปลอดภัยอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่การเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการทดสอบความปลอดภัยในการขับขี่ก็ตามทีแต่ว่าทั้งหมดนั้นก็ต้องอยู่กับผู้ขับขี่เองด้วยว่าจะขับขี่ได้ปลอดภัยมากเพียงไหน และด้วยการมีสื่อบันเทิงบนรถยนต์ทำให้ความปลอดภัยในการขับขี่อาจจะลดน้อยลงอีก หลังจากการตรวจสอบครั้งนี้ก็คงจะทำให้บริษัท Tesla มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่

ภาพ Screenshot จาก Cnet

ข้อมูลจาก Gamerant  

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ เทคโนโลยีรอบโลก 
เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Instagram ปล่อยเครื่องมือใหม่สำหรับผู้ปกครองและวัยรุ่น

Instagram

Instagram หนึ่งในแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท Meta

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาสื่อสังคมออนไลน์ Instagram หนึ่งในแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท Meta ได้ถูกโจมตีอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานโดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น ที่ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้งาน Instagram เมื่อได้เห็นบุคคลต่างๆ บนโลกออนไลน์ก็จะเกิดความเปรียบเทียบและทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าลง หรืออาจจะรับรู้เนื้อหาต่างๆ ที่เป็นแง่ลบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจของกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทาง Instagram ก็ไม่นิ่งนอนใจที่จะแก้ปัญหาและก็ได้มีการออกเครื่องมือชนิดใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเนื้อเรื่องของสุขภาพจิตของกลุ่มวัยรุ่น โดยเครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองสามารถกำหนดระยะเวลาการใช้งาน Instagram ของวัยรุ่นได้ และยังมีระบบแจ้งเตือนถึงผู้ปกครองเห็นด้วยถ้าหากว่าลูกๆ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นใช้งาน Instagram และมีการรายงานบัญชีใดบัญชีหนึ่ง โดยเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถควบคุมดูแลลูก ๆ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นในการใช้งานแอปพลิเคชันนั้นจะมีการเริ่มต้นใช้งานจริงในช่วงเดือนมีนาคมปี 2022 แล้วหลังจากนั้น Instagram ก็จะมีแผนการต่าง ๆ ออกมาอีก 

นอกจากเครื่องมือที่ให้ผู้ปกครองใช้ในการควบคุมดูแลลูก ๆ ในการใช้งาน Instagram แล้วยังมีการออกฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า “Take a Break” ฟีเจอร์ดังกล่าวได้เป็นที่ถูกพูดถึงมาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ Take a Break เป็นฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานที่ใช้แอปพลิเคชันเป็นระยะเวลาหนึ่งได้มีเวลาพักจากการใช้งาน Instagram โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะมีการแจ้งเตือนไปถึงผู้ใช้งานทุก ๆ 10 20 และ 30 นาที เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกตัวว่าเราใช้งานแอปพลิเคชันเป็นระยะเวลานานแล้ว และให้ใช้เวลาไปกับการทำอย่างอื่นบ้างเพื่อเป็นการพักผ่อน ฟีเจอร์ Take a Break เริ่มต้นใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาและมีการอัปเดตในอีกหลาย ๆ ประเทศ 

Adam Mosseri ประธานของบริษัท Instagram ก็ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ผมรู้สึกภูมิใจที่ Instagram เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่วัยรุ่นใช้เวลาอยู่กับมัน กับคนที่พวกเขารู้สึกแคร์ ใช้เพื่อในการค้นหาความสนใจต่าง ๆ รวมไปถึงการค้นหาตัวตนของตัวเขาเอง ผมต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปซึ่งหมายถึงว่าการที่ทำให้แอปพลิเคชันเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา”

หลังจากนี้ Adam Mosseri จะต้องถูกตรวจสอบจากสภาคองเกรส เกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของบริการที่มีต่อผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มเยาวชน ซึ่งก็คงต้องมาติดตามดูว่าผลของการตรวจสอบนี้จะเป็นเช่นไร และในอนาคต Instagram จะมีทิศทางในการพัฒนาแอปพลิเคชันไปในทิศทางไหน เพื่อให้มีความปลอดภัยมากขึ้น

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Twitter แบนการลงรูปผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอม

Twitter

Twitter สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของโลก

Twitter สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของโลกได้มีการโพสต์ลง blogของ Twitter เกี่ยวกับการออกกฎระเบียบใหม่เพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากการถูกโจมตีบนโลกของสังคมออนไลน์ โดยกฎระเบียบใหม่นี้จะเป็นกฎระเบียบเกี่ยวกับเนื้อหาในทวิตโดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับรูปภาพของบุคคลและวิดีโอของบุคคล โดยทางทวิตเตอร์จะทำการลบรูปภาพและวิดีโอที่เป็นรูปภาพหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับบุคคลออก ถ้าหากว่าสื่อนั้นไม่ได้รับการยินยอมนั่นเอง ซึ่งทาง Twitter จะมีการส่งแจ้งเตือนไปที่ผู้ใช้งานก่อนว่าทวิตรูปภาพและคลิปวิดีโอที่ได้มีการโพสต์ลงแพลตฟอร์มนั้นไม่ได้รับการยินยอม 

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ถูกละเมิดสิทธิจากการนำรูปภาพของตัวเองหรือคลิปวิดีโอของตัวเองไปลงในสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter โดยที่ไม่ได้รับการยินยอม และถูกใช้เพื่อโจมตีหรือว่าคุกคามต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบในเรื่องของความปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย ซึ่งทาง Twitter พยายามที่จะกำจัดรูปภาพและคลิปวิดีโอเหล่านี้ลดการคุกคามไปโดยการร่างนโยบายดังกล่าวขึ้น แต่สำหรับรูปภาพที่ใช้ในแหล่งข่าวต่าง ๆ หรือใช้เพื่อให้คุณค่ากับสังคมในพื้นที่สาธารณะจะถือเป็นข้อยกเว้นยังสามารถนำมาลงใน Twitter ได้ตามปกติ และนอกจากนี้รูปภาพที่เป็นการถ่ายเกี่ยวกับงาน Event ที่เป็นการถ่ายกลุ่มคนจะได้รับการยกเว้นด้วยเช่นเดียวกัน และสำหรับผู้ที่พบเจอทวีตที่มีการลงเนื้อหาเกี่ยวกับรูปภาพและวิดีโอต่าง ๆ และมีทิศทางที่จะผิดนโยบายที่ Twitter ร่างขึ้นก็สามารถรายงานทวิตดังกล่าวได้ด้วยเช่นเดียวกัน

โดยทันทีที่นโยบายนี้ออกมาก็มีกลุ่มอาชีพบางอาชีพที่อาจจะได้รับผลกระทบตัวอย่างเช่นช่างภาพแนวสตรีทที่เน้นในเรื่องของการถ่ายรูปภาพในพื้นที่สาธารณะซึ่งอาจจะเป็นรูปภาพบุคคลหรือกลุ่มคน Nick Turpin ช่างถ่ายภาพแนวสตรีท ได้ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวที่จะหยุดการคุกคามต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ แต่อย่างไรก็ตามการที่นโยบายนี้ออกมาทำให้อาชีพของเขาได้รับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกันเพราะงานของเขานั้นจำเป็นที่จะต้องมีการแพร่ภาพผ่านทางช่องทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาพบุคคล ซึ่งอาจจะทำให้รูปภาพทั้งหมดที่เขาได้นำลงไปใน Twitter จับละเมิดนโยบายดังกล่าวนั้นเอง

ก็เห็นถึงความตั้งใจของ Twitter ที่จะลดเรื่องการคุกคามต่าง ๆ ผ่านทางรูปภาพและวิดีโอ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้นแต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมาดูว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใดกับอาชีพบางอาชีพตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นและ Twitter จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายบางส่วนเพื่ออำนวยให้กับกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบหรือไม่ 

ถึงแม้ว่าหลาย ๆ แพลตฟอร์มจะมีการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานเพิ่มความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานและใช้งานแพลตฟอร์มได้อย่างสบายใจแต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่หมดไปเสียซะทีเดียวเพราะว่าบนดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไร้พรมแดนดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับปัญหานั้นเอง

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก BBC 

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cyberbully

Facebook

Facebook และ Instagram แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของบริษัท Meta

ถึงแม้ว่าบริษัท Facebook ที่ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Meta กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ Metaverse เพื่อเตรียมพร้อมกับโลกอนาคตแต่ก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวเลวร้ายจากอดีตก็ยังไม่คลี่คลายลง

Facebook และ Instagram แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของบริษัท Meta ได้มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน บนสื่อสังคมออนไลน์มักมีการคุกคาม การบูลลี่ รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ ซึ่งในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมานี้เราก็ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้มากมายเลยทีเดียวสำหรับของทาง Facebook และ Instagram แต่ก็ดูเหมือนว่าทาง Facebook ก็ยังมองข้ามปัญหาเหล่านี้อยู่ จนถึงขั้นมีการเรียกร้องจาก Frances Haugen ต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวเลยทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องที่ทาง Facebook พยายามที่จะสนใจผลกำไรมากกว่าความปลอดภัยในแพลตฟอร์ม

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทาง Facebook ก็ได้มีการลบเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องการคุกคามไปมากกว่า 9.2 ล้านเนื้อหา เช่นเดียวกับทาง Instagram ที่มีการลบไปมากกว่า 7.8 ล้านเนื้อหาเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีบางเนื้อหาที่ไม่ถูกลบไป เนื่องจากคำพูดบางคำพูดเป็นการใช้งานกับเพื่อนสนิทหรือบุคคลใกล้ชิด ทำให้ยังมีคำหยาบมากมายการคุกคามมากมายอยู่บนโลกของอินเทอร์เน็ตในสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Instagram อยู่

โดยเมื่อวันอังคารที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมาทาง Facebook ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่หลายของการคุกคาม การวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบที่อยู่บนโลกของสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Instagram

โดย Facebook บอกว่านับตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาเนื้อหาที่เกี่ยวกับการคุกคามและการวิพากษ์วิจารณ์นั้นได้ถูกเห็นประมาณ 14-15 ครั้งทุกการรับชม ครั้ง และสำหรับบน Instagram เนื้อหาที่เกี่ยวกับการคุกคามและการวิพากษ์วิจารณ์จะถูกเขียนประมาณ 5-6 ครั้งต่อการรับชม 10,000 ครั้งเช่นเดียวกัน

ถ้าวัดกับผู้ใช้งานก็คงต้องบอกว่าจำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนที่เยอะมากเลยทีเดียว และการที่ Facebook เปิดเผยความแพร่หลายที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามเช่นนี้รวมไปถึงถ้อยคำสร้างความเกลียดชังก็คงเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็ยังมีพนักงานที่เคยทำงานกับบริษัทอีกหลายคนไม่เห็นด้วยกับตัววัดดังกล่าว โดยบอกว่าตัววัดดังกล่าวที่วัดเกี่ยวกับการแพร่หลายนี้ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นคตินิยม

ทางหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยและความซื่อสัตย์ของทางบริษัทก็ได้ออกมาชี้แจงว่าการวัดดังกล่าวจะช่วยตรวจจับสิ่งที่เราเห็นและจะช่วยตรวจจับสิ่งที่เราพลาด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะมีการพูดถึงการวัดด้วยวิธีการอื่น ซึ่งทางบริษัทก็ได้มีการปรึกษากับ EY เพื่อสร้างตัววัดขึ้นมาในช่วงควอเตอร์ที่ 4 ของปีนี้ และจะมีการเปิดเผยมาในช่วงปี 2022

จากนี้ก็ต้องมาดูว่าทางบริษัท Meta จะจัดการกับเนื้อหาที่มีความรุนแรงเช่นนี้อย่างไรเพราะว่ามันจะทำให้สุขภาพจิตของผู้ที่ใช้แพลตฟอร์มนั้นเสียได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว และจะดึงดูดผู้ใช้งานไปใช้แพลตฟอร์มอื่นที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากกว่า

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook พักการพัฒนา Instagram

Instagram

Facebook พักการพัฒนา Instagram สำหรับเด็ก

หลังจากที่ทาง Facebook คนพบว่าสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มในเครือของตนเองอย่าง Instagram นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนทำให้ Adam Mosseri ผู้ที่เป็นหัวหน้าของทางนั้นตัดสินใจที่จะเดินหน้าพัฒนาแอปพลิเคชัน Instagram สำหรับเด็ก

โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับให้ได้เลยก็คือในปัจจุบันนี้มีเยาวชนมากมายที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์เข้าใช้งานสื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมากซึ่งเนื้อหาบางส่วนนั้นยังไม่เหมาะสมกับวัยเด็กทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบซึ่งทาง Instagram นั้นได้เห็นปัญหาดังกล่าวจึงตัดสินใจที่จะสร้าง Instagram สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีขึ้นมาซึ่งเนื้อหาภายในแอปพลิเคชันจะเป็นเนื้อหาที่แตกต่างกับเวอร์ชันที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และ Instagram สำหรับเด็กจะอยู่ในการควบคุมดูแลของผู้ปกครอง ซึ่งได้มีประกาศออก เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาตั้งแต่ในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งในช่วงนั้นก็มีข่าวออกมามากมายเกี่ยวกับการต่อต้านไม่ให้พัฒนาแต่ด้วยความตั้งใจของทีมผู้พัฒนาทำให้แอปพลิเคชันดังกล่าวนั้นยังพัฒนาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทาง Facebook จะได้พักการพัฒนาแอปพลิเคชันInstagram สำหรับเด็กออกไปก่อนเพื่อพัฒนาระบบ parental supervision tools

Adam Mosseri ยังบอกอีกด้วยว่า “ความตั้งใจของพวกเราไม่ใช่เพื่อสร้าง Instagram ในเวอร์ชันเดียวกับที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ผู้ปกครองจะสามารถติดตามช่วงเวลาที่ลูกๆ ของพวกเขาใช้งาน Instagram อยู่และสามารถติดตามได้ว่าพวกเขานั้นส่ง Message ไปหาใครรวมถึงติดตามใครและใครติดตามเขา”

และแน่นอนว่าในขณะที่แต่ละคนกำลังมองเห็นถึงข้อเสียที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่แอปพลิเคชันดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นมาแต่ในช่วงนี้ทาง Instagram ก็ได้มีการทำงานกับผู้ปกครอง ผู้เชี่ยววชาญและผู้สร้างนโยบาย เพื่อที่จะทำให้แอปพลิเคชันนั้นมีคุณค่ามากพอสำหรับผู้ใช้

สุดท้ายแล้วก็ต้องติดตามดูกันว่า Instagram สำหรับเด็กนั้นจะเหมาะสมที่จะใช้งานสำหรับเด็กหรือไม่และจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากน้อยเพียงใด เพราะว่าสำหรับเด็กที่ยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นการเข้าใช้แอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์เป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้เสียสุขภาพจิตได้ง่ายและรวดเร็วกว่ากลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ต้องดูว่าทางผู้พัฒนานั้นจะสามารถควบคุมเนื้อหาที่อยู่ในแพลตฟอร์มได้มากน้อยเพียงใดและภายใต้การดูแลของผู้ปกครองนั้นจะทำได้ดีมากแค่ไหน

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Microsoft เปิดใช้งานฟีเจอร์ไร้รหัสผ่าน

Microsoft

Microsoft ได้มีการพัฒนาฟีเจอร์ไร้รหัสผ่าน

รหัสผ่านถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกออนไลน์ เมื่อเราจะเข้าใช้งานโปรแกรมเว็บไซต์หรือว่าเข้าใช้งานระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft, หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีข้อมูลต่างๆ ของเราอยู่เป็นจำนวนมากเราคงไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาร่วมรู้ดังนั้นรหัสผ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญนั่นเอง แต่ว่าในโลกของการทำงานหรือในโลกของการใช้ชีวิตจริงเราคงไม่ใช้โปรแกรมเพียงแค่โปรแกรมเดียวหรือมีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์เพียงแค่บัญชีเดียว ทุกครั้งที่มีการสมัครเพื่อใช้งาน พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องสมัครบัญชีใหม่เสมอและในบางครั้งเมื่อมีจำนวนระบบหรือโปรแกรมที่จะต้องใช้งานเป็นจำนวนมากนั้นทำให้รหัสผ่านที่ถูกตั้งนั้นง่ายดายมากขึ้นเพราะว่าง่ายต่อการจดจำ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นข้อเสียที่ร้ายแรงเลยทีเดียว

การสร้างรหัสผ่านที่ง่ายหรือรหัสที่ซ้ำกันหลาย ๆ บัญชีทำให้เมื่อถูกมิจฉาชีพแฮกเข้ามาในบัญชีของพวกเราเพียงแค่บัญชีเดียวก็ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบัญชีอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเราควรตั้งรหัสผ่านให้ไม่ไม่เหมือนกันหรือให้เหมือนกันน้อยที่สุด ซึ่งทาง Microsoft ก็มองเห็นว่าการมีรหัสผ่านในการเข้าใช้งานโปรแกรมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความปลอดภัยของการใช้งานนั้นลดลง เพราะว่าด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น Microsoft มีการผลักดันระบบการเข้าใช้งานแบบไร้รหัสผ่านมาโดยตลอด

ซึ่งทาง Microsoft ได้มีการพัฒนาฟีเจอร์ไร้รหัสผ่านมาเป็นเวลาหลายปีและได้เปิดให้ผู้ใช้งานที่มีบัญชีในรูปแบบ commercial ได้ใช้งานกันไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แล้วในปัจจุบันก็เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว เมื่อไม่มีรหัสผ่านผู้ใช้งานนั้นสามารถเข้าใช้งาน Microsoft ได้ผ่าน Microsoft Authenticator app, Windows Hello,กุญแจความปลอดภัย,หรือการยืนยันจาก SMS และ E-mail

ก่อนที่ผู้ใช้งานจะต้องมีบัญชีของ Microsoft ที่ผูกกับ Microsoft Authenticator app หลังจากนั้นเข้าไปที่เว็บไซต์ account.microsoft.com หลังจากนั้นเข้าไปที่ Advanced Security Options และเปิดใช้งานบัญชีไร้รหัสผ่าน (passwordless accounts) ที่อยู่ในส่วนของความปลอดภัยเพิ่มเติม (Additional Notice)

ในเรื่องของความปลอดภัยในปัจจุบันนี้การใช้รหัสผ่านแบบเดียวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความปลอดภัยในโลกออนไลน์มาก ดังนั้นการเข้าใช้งานในเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้จึงมีรูปแบบการเข้ารหัสผ่าน 2 ชั้นเพื่อให้ยากต่อการถูกแฮกมากยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของการใช้งานรหัสผ่าน 2 ชั้นก็มีวิธีให้เลือกมากมายซึ่งสามารถเข้าไปศึกษาวิธีการใช้งานจากเว็บไซต์ต่าง ๆ และทาง YouTube ได้ โดยค้นหาคำว่า 2FA (2 factor Authentication)

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก The Verge

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Facebook ลงทุนในเรื่องความปลอดภัย

Facebook

Facebook ลงทุนมากกว่า $13 พันล้านในเรื่องความปลอดภัย

Facebook เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้คนใช้งานอยู่ทั่วโลกแต่ว่าในระยะหลังกลับถูกโจมตีในเรื่องความไม่ปลอดภัยความเป็นส่วนตัวและในเรื่องการแพร่กระจายข่าวปลอมมากมาย ซึ่งทำให้ทาง Facebook เองจะต้องออกมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือลดปัญหาดังกล่าวให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน

Facebook นั้นกลายเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่แพร่กระจายข่าวปลอมเป็นจำนวนมากซึ่งมันเห็นเด่นชัดได้จากในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีการเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับการเลือกตั้งจนถึงช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิดที่มีการปล่อยข่าวปลอมในเรื่องการฉีดวัคซีน ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ Facebook ต้องรับผิดชอบ

และล่าสุดก็คือผลวิจัยจากทาง Facebook ที่มีผลออกมาว่า Instagram แอปพลิเคชันชื่อดังที่อยู่ในเครือของ Facebook ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กวัยรุ่น ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียวเพราะว่าการเล่นสื่อสังคมออนไลน์นั้นควรจะเป็นแหล่งที่มีความปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบในเรื่องดังกล่าวแต่ดันส่งผลเสียในเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว อีกทั้งยังในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวตั้งแต่ในช่วงฟุตบอลยูโร

ปัญหาทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาสู่บริษัท Facebook นั้นเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ควรจะรีบเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุดเพราะว่าความปลอดภัยความเป็นส่วนตัวและความถูกต้องของข้อมูลถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เลยทีเดียว

โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาทาง Facebook ได้ออกมาชี้แจงว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทางบริษัทพยายามและแก้ไขปัญหาในเรื่องของความปลอดภัยความเป็นส่วนตัวและในเรื่องความถูกต้องของข้อมูลมาโดยตลอด โดยในบริษัท Facebook นั้นมีบุคลากรจำนวนไม่น้อยกว่า 40,000 คนที่ทำงานในเรื่องของความปลอดภัยและได้มีการลงทุนเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยกว่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐไปกับทีมงานที่คอยแก้ไขปัญหาดังกล่าวรวมถึงในเรื่องของเทคโนโลยีด้วย

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทาง Facebook นั้นใช้เทคโนโลยี AI ในการตรวจสอบและได้มีการลบข้อมูลที่ไม่มีความจริงไปเป็นจำนวนมากและที่สำคัญยังมีการบล็อกบัญชีผู้ใช้งานที่เป็นบัญชีปลอมไปมากกว่า 3 พันล้านบัญชีเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ Facebook ทำมาตลอดตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบันนี้แต่ก็ดูเหมือนว่าทางบริษัทก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอเลยทีเดียว

ซึ่งสิ่งหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าการควบคุมในเรื่องของความปลอดภัยความเป็นส่วนตัวและความถูกต้องของข้อมูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะว่าจำนวนผู้ใช้ Facebook ทั่วทั้งโลกนั้นมีจำนวนมหาศาลแถมข้อมูลที่ไหลมาแต่ละวันนั้นก็เป็นข้อมูลจำนวนมากดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่แน่นอนว่า Facebook นั้นก็มีความตั้งใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและมีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น ก็ต้องมาดูว่าในอนาคตทาง Facebook จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ดีมากน้อยเพียงใด

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก Cnet

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Tiktok พัฒนาระบบใหม่ลดสิ่งรบกวนให้กับผู้ใช้งานวัยเด็ก

Tiktok

Tiktok ได้กลายเป็นแอปที่มียอดดาวน์โหลดสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แล้วความนิยมของแอปพลิเคชันที่มีมากขึ้น ทำให้มีการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ในตอนนี้แทบจะบอกได้เลยว่าทุกคนนั้นมีบัญชี Tiktok เป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งวัยผู้ใหญ่

ซึ่งด้วยคอนเทนต์ภายในแพลตฟอร์มที่มีมากมายทำให้เราแค่จะเลื่อนหน้าจอเพื่อดูคลิปต่าง ๆ ได้ทั้งวันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำ Tiktok ก็มีการแจ้งเตือนคลิปวิดีโอที่น่าสนใจให้ผู้ใช้งานเข้าไปรับชมทุกวันอีกด้วย ซึ่งด้วยความนิยมส่งผลดีอย่างมากต่อตัวแพลตฟอร์ม แต่ในบางครั้งสำหรับคนที่ไม่สามารถจัดการเวลาตนเองได้ดีมากโดยเฉพาะวัยเด็กแล้ววัยรุ่น บางครั้งก็อาจจะส่งผลเสียได้ Tiktok จึงได้มีการพัฒนาระบบเพื่อช่วยให้วัยเด็กรวมไปถึงวัยรุ่นสามารถแบ่งเวลาการเข้าใช้งานแพลตฟอร์มได้ดีมากขึ้น

Tiktok จะหยุดส่งแจ้งเตือนหลังเวลา 21:00 น สำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุ 13-15 ปี และหลัง 22:00 น สำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุ 16-17 ปี เพื่อช่วยให้เหล่าเยาวชนที่ใช้งานแอปพลิเคชันนั้น สามารถมีสมาธิกับการทำงาน การเรียนรวมไปถึงสามารถแบ่งเวลาเพื่อพักผ่อนได้ดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น Tiktok ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานที่เป็นเยาวชนอีกด้วย

สำหรับผู้ใช้งานที่อายุ 16-17 ปี ระบบการส่งข้อความจะถูกตั้งค่าให้เป็น no-one โดยผู้ใช้งานที่มีอายุอยู่ในช่วงวัยดังกล่าวถ้าหากว่าจะทำการส่งข้อความไปหาคนอื่นๆ นั้นจะต้องใช้ช่องทางอื่น ๆ นั่นเอง และสำหรับผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี เมื่อเข้ามาใช้งานและจะทำการโพสต์คลิปวีดีโอแรกลงในบัญชีผู้ใช้งานระบบจะมีการถามผู้ใช้งานว่าต้องการให้ผู้ใดมองเห็นได้บ้าง

ผู้ติดตาม

เพื่อน

แค่ผู้ใช้งาน

ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบเช่นนี้คงทำให้ Tiktok เหมาะกับเยาวชนมากขึ้นและมีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้นอย่างแน่นอน ที่ผ่านมา Tiktok เคยมีข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในการใช้งานสำหรับเด็ก

สื่อสังคมออนไลน์เป็นสิ่งที่มีเนื้อหามากมายซึ่งเนื้อหาในบางเรื่องก็ไม่เหมาะสำหรับเยาวชนมากนักบางครั้งการที่เยาวชนได้เห็นสิ่งที่ผิด แล้วนำมาทำตามก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้ในภายหลัง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือในตอนนี้ไม่สามารถปิดกั้นให้เยาวชนนั้นเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ได้ ดังนั้นสิ่งที่ผู้พัฒนาสื่อสังคมออนไลน์ควรทำก็คือทำให้แพลตฟอร์มที่ตนเองพัฒนาอยู่นั้นปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดต้องปลอดภัยสำหรับทุกวัยไม่ใช่เพียงแค่เด็ก เพราะในปัจจุบันนี้ยังมีการหลอกลวงหรือการคุกคามบนโลกอินเทอร์เน็ตอยู่นั่นเอง

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก BBC

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  
เวปไซด์ getup-it.com