อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท X กำลังทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างแพลตฟอร์ม X ให้กลายเป็น Super App อย่างที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X เขาก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตลอดว่าเขาต้องการทำให้ X เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านของการเงิน แอป X ในอนาคตอาจจะควบคุมการเงินโลกได้ ซึ่งล่าสุดเขาก็เดินหน้าตามแผนการดังกล่าวนั้นเริ่มต้นจากยื่นข้อเสนอกับบริษัทข้อมูลการเงินยักษ์ใหญ่ เพื่อพัฒนา Trading Hub ในX

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรายงานจาก Semafor ว่า X ได้มีการยื่นข้อเสนอเพื่อพูดคุยกับบริษัทข้อมูลทางการเงินเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก X ต้องการข้อมูลการเงินและข้อมูลของตลาดหุ้นแบบ Real Time เพื่อพัฒนาให้ Trading Service ในแอป X อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าบริษัทไหนที่จะตอบรับข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เพื่อสร้างโปรเจคนี้ อีกหนึ่งเรื่องก็คือในข้อเสนอที่ทาง X ไม่ได้มีการพูดถึงค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีการถามถึงเงินลงทุนที่ทางบริษัทจะมาลงทุน ทำให้ในตอนนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีบริษัทไหนที่จะมาร่วมโปรเจคกับทาง X

ก่อนหน้านี้X ได้มีการนำข้อมูลทางการเงินเข้ามาในแพลตฟอร์มตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยได้มีการร่วมเป็น partner กับ Etoro ที่เป็นบริษัทการลงทุน ทำให้ผู้ใช้งาน X สามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นคริปโต, หุ้น และ อื่นๆ นอกจากสามารถดูทรัพย์สินต่างๆ อีลอน มัสก์ยังวางแผนที่จะทำระบบการชำระเงินด้วยเงิน Fiat บน X และในอนาคตอาจจะชำระเงินด้วยคริปโตได้ด้วยเช่นเดียวกันนำมาโดยเหรียญ Doge Coin

ภาพ X/Elon Musk

อีลอน มัสก์มีความฝันที่จะสร้าง Super App ที่ครบจบในแอปเดียวไม่ว่าจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ซื้อของขายของ และอื่น ๆ เหมือนกับ WeChat ของประเทศจีน หรือ LINE ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของทั้งหมดคือการ รีแบรนด์จาก Twitter เป็น X และเขาก็ได้พูดแผนการคร่าวๆ ที่จะทำกับ X ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องดูว่าตัวเขาจะพัฒนาให้ X เป็นแอปที่สามารถควบคุมการเงินของโลกได้จริงหรือไม่ แล้วจะมีฟังก์ชันอื่นๆ เหมือนกับ WeChat หรือ LINE มากน้อยเพียงใด

ข้อมูลจาก Firstpost , Coinspeaker

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Intel เปิดตัวชิปขุดคริปโตตัวใหม่

Intel-เปิดตัวชิปขุดคริปโตตัวใหม่

หลังจากที่ผู้คนเริ่มรู้จักกับคริปโตเคอเรนซี่ก็ได้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้เพราะว่าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มจะเป็นเทรนในอนาคตและสร้างผลตอบแทนได้สูงล่าสุดบริษัท Intel ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกก็ได้กระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้ด้วยเช่นเดียวกันโดยทางบริษัทได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมคริปโต และได้มีการออกแบบชิปประมวลผลที่ใช้ในการขุดเหรียญคริปโตโดยเฉพาะ

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัท Intel ได้มีการประกาศเปิดตัวชิปประมวลผลตัวใหม่ที่ใช้ในการขุดเหรียญ Bitcoin และใช้ในการ Mint ผลงานศิลปะ NFTs เนื่องจากมีปริมาณการใช้งานที่สูงอย่างมากหลังจากคริปโตเคอเรนซี่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น หลังจากที่ได้มีการประกาศเปิดตัวดูเหมือนว่าจะมีลูกค้ารายแรกที่มีการสั่งซื้อชิปประมวลผลดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั่นก็คือบริษัท Block ของ Jack Dorsey อดีต CEO ของ Twitter และอีก 1 บริษัทก็คือ GRIID

Intel เปิดตัวชิปขุดคริปโตตัวใหม่

ภาพ Pixabay

คุณสมบัติของชิปประมวลผลตัวนี้จะเป็นชิปประมวลผลที่ใช้พลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยมันสามารถที่จะขุดเหรียญและทำงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนรวดเร็วมากขึ้น

Raja Koduri ผู้ที่เป็นรองประธานของบริษัท Intel ก็ได้มีการพูดถึงชิปประมวลผลตัวดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกันโดยเขาบอกว่าชิปประมวลผลตัวนี้จะสามารถทำงานได้ดีกว่า Gpu ที่ใช้ SHA-256 ในการขุดเหรียญ 1,000 เท่า

Intel เปิดตัวชิปขุดคริปโตตัวใหม่

ภาพ Pixabay

สำหรับข้อมูลอื่นก็เกี่ยวข้องกับการวางจำหน่ายชิปประมวลผล Intel ตัวดังกล่าวโดยชิปประมวลตัวนี้จะวางจำหน่ายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ภายในงาน International Solid-State Circuits Conference และในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ทางบริษัทก็จะมีการขึ้นพรีเซนต์หัวข้อ Bonanza Mine: An Ultra-Low-Voltage Energy-Efficient Bitcoin Mining ASIC ด้วย

Intel เปิดตัวชิปขุดคริปโตตัวใหม่

ภาพ Pixabay

อย่างไรก็ตามในตอนนี้อุตสาหกรรมการขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่นั้นกำลังเป็นที่ถูกพูดถึงในแง่ลบเรื่องของการใช้พลังงานมากเกินไปในการขุดและเป็นผลเสียต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งก็ต้นมาติดตามดูว่าชิปประมวลผลของ Intel ตัวนี้จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ ในอนาคตก็คงต้องมาติดตามหรือว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเช่นไรเพราะในตอนนี้บางประเทศก็ห้ามมิให้มีการขุดคริปโตภายในประเทศส่วนบางประเทศก็มีการอนุญาตเป็นบางพื้นที่ ที่สำคัญเลยก็คือพลังงานที่ใช้ในการประกอบการขุดประเทศอย่างเอลซัลวาดอร์มีพลังงานจากภูเขาไฟหรือบางประเทศก็ใช้พลังงานจากน้ำในเขื่อน แต่อีกหลายๆ ประเทศยังคงใช้พลังงานที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในส่วนนี้ก็ต้องมาติดตามดูว่าจะมีจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นหรือไม่และจะมีประเทศเปิดรับ ฺBitcoin และอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเป็นทางการมากน้อยเพียงใด

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ข้อมูลจาก The Verge

แฮกเกอร์ยอมคืนเงินให้ Poly Network

Poly Network

เมื่อไม่มีกี่วันที่ผ่านมาในโลกของคริปโตเคอเรนซี่นั้นได้มีข่าวเกี่ยวกับโปรเจกต์ DeFi ที่มีชื่อว่า Poly Network ถูกแฮกเกอร์มือดีแฮ็คเข้ามาในระบบและทำให้สูญเสียเงินไปกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Poly Network ก็ได้มีการร้องขอให้ติดแบล็คลิสที่อยู่กระเป๋าเงินของแฮกเกอร์เลยทีเดียวและทาง CEO ของ Binance ก็พร้อมที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเริ่มคลี่คลายแล้ว

หลังจากไม่กี่วันที่แฮกเกอร์ได้เข้ามาขโมยเงินเป็นจำนวน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นจำนวนเหรียญดังนี้ Ether จำนวน 267 ล้านดอลลาร์ เหรียญ Binance 252 ล้านดอลลาร์ และเหรียญ USDC ประมาณ 85 ล้านดอลลาร์ ในตอนนี้ทางแฮกเกอร์ก็ได้คืนเงินบางส่วนกลับมาในระบบของ Poly Network เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยคิดเป็นจำนวนเงิน 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเขาโอนมาบน Etheruem Chain 3.3 ล้านดอลลาร์ Binance Smart Chain 256 ล้านดอลลาร์ และ Polygon 1 ล้านดอลลาร์ โดยยังเหลือเงินพี่ยังไม่ได้โอนกลับคืนมาอีกจำนวน 269 ล้านดอลลาร์บน Etheruem Chain และบน Polygon อีก 84 ล้านดอลลาร์อ้างอิงจากทวิตเตอร์ Poly Network

และถึงแม้ว่าทางแฮกเกอร์นั้นจะยอมคืนเงินให้บางส่วนแต่ดูเหมือนว่า Poly Network จะพร้อมที่จะเดินหน้าฟ้องคดีกับการกระทำดังกล่าวด้วย เพราะว่าไม่ว่ายังไงก็ตามการกระทำดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความสูญเสียภายในระบบและยังทำให้สูญเสียชื่อเสียงอีกด้วย

โดยบน Poly Network นั้นมีโปรเจคเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็น DeFi, NFT, DEX และยังมีเครื่องมือที่ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกสบายบนโลกของ Blockchain อีกด้วย ซึ่งก็มีผู้ใช้บริการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว การสูญเสียในครั้งนี้ก็คงจะทำให้ผู้ใช้บริการบางส่วนนั้นอาจจะไม่มั่นใจในเรื่องของระบบความปลอดภัย ก็ต้องมาดูกันว่าอนาคตจะมีการแก้ไขอย่างไร

ด้วยความที่ทุกอย่างอยู่บนโลกของอินเทอร์เน็ตทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกแฮ็คได้ถึงแม้ว่าจะเป็นระบบที่แข็งแรงแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นถ้าหากว่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในโลกของเงินคริปโตเคอเรนซี่เเล้วก็มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลของเหรียญและที่สำคัญเลยก็คือข้อมูลของ Network ต่าง ๆ ที่เข้าไปลงทุนว่ามีความไว้เนื้อเชื่อใจได้มากแค่ไหนและมีความแข็งแรงของระบบมากเพียงใด

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก BBC , สยามบล็อกเชน

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  
เวปไซด์ getup-it.com

Poly Network โดนแฮ็คสูญเสียเงินไปกว่า 600 ล้าน

Poly Network

ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นกับโปรเจค DeFi ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “Poly Network” โดยโปรเจคนี้ได้ถูกได้ถูกแฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ

เป็นที่ย้ำเตือนกันอยู่เสมอว่าการลงทุนในคริปโตเตอเรนซี่มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องราคาผันผวนแต่เรื่องของการสูญเสียจากการแฮ็คด้วย ถึงแม้ว่าระบบเงินคริปโตเตอเรนซี่จะถูกเขียนบนระบบ Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูงและไม่เคยถูกเจาะระบบเลยสักครั้งเดียว แต่ในโลกของระบบเงินคริปโตเตอเรนซี่มีความซับซ้อนมากทำให้เกิดช่องทางการหาเงินใหม่ ๆ ขึ้นมาหนึ่งในนั้นก็คือ DeFi

DeFi หรือชื่อเต็ม ๆ ของมันก็คือ Decentralized Finance แปลเป็นไทยก็คือระบบการเงินที่ไม่มีตัวกลาง โดยปกติแล้วเวลาเราจะทำธุรกรรมการเงินไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืม หรือการฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ยเราจำเป็นที่จะต้องทำผ่านตัวกลางนั่นก็คือธนาคาร ซึ่งการมีตัวกลางทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะรับผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่ DeFi ทำก็คือการตัดตัวกลางออกไปทำให้ผู้ที่ทำธุรกรรมทางการเงินโดยใช้คริปโตเคอเรนซี่นั้นได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยจากการกู้ยืมที่น้อยลง รวมไปถึงผลตอบแทนเงินฝากที่มากขึ้น พอฟังดูแล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นระบบที่ดี แต่ในเมื่อมันเป็นโค้ดที่ถูกเขียนขึ้นมาบางครั้งมันก็เปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีนั้นมาทำการทุจริตได้ และถึงแม้ว่าจะหวังดีเปิดใช้ให้บริการอย่างไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เลยแต่ถ้าหากว่าเขียนระบบแล้วมีช่องโหว่ก็เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์นั้นเข้ามาทำลายระบบแล้วขโมยเงินบางส่วนหรืออาจจะทั้งหมดไปได้

ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นกับโปรเจค DeFi ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “Poly Network” โดยโปรเจคนี้ได้ถูกได้ถูกแฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบทำให้สูญเสียเงินไปกว่า 600 ล้านเลยทีเดียวซึ่งก็สร้างความสูญเสียไม่ใช่น้อย และการที่ระบบ Blockchain นั้นเป็นระบบที่เปิดเผยทำให้สามารถรู้ได้ว่าเงินที่ถูกขโมยมาถูกโอนไปไว้ในกระเป๋าใดซึ่งก็เป็นบานเปิดเผยออกมาจาก Twitter ของ Poly Network เอง ซึ่งจากข้อมูลได้เปิดเผยว่าคนร้ายได้โอนเงินไปใส่ไว้ในกระเป๋าใน Ethereum , Binance Smart Chain และ Polygon ซึ่งก็มีจำนวนเงินเปิดเผยด้วยเช่นเดียวกันโดยเหรียญที่ถูกขโมยไปนั้นก็คือเหรียญ Ether จำนวน 267 ล้านดอลลาร์ เหรียญ Binance 252 ล้านดอลลาร์ และเหรียญ USDC ประมาณ 85 ล้านดอลลาร์

จากการโดนแฮ็คในครั้งนี้ทำให้ Poly Network เรียกร้องให้มีการติดแบล็กลิสต์ที่อยู่กระเป๋าเงินของคนที่เข้ามาแฮ็คโดยทันที

จากการสูญเสียทำให้ CEO ของ Binance เว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลชื่อดังพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ Poly Network

ภาพจาก Pixabay

ข้อมูลจาก BBC , สยามบล็อกเชน

ติดตามบทความเรื่องเทคโนโลยีได้ที่ ทันโลกit  
เวปไซด์ getup-it.com