Apple โดนแบนในประเทศจีน ย้ายฐานผลิตไปอินเดีย

Apple โดนแบนในประเทศจีน ย้ายฐานผลิตไปอินเดีย

Apple บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศอเมริกาถูกประเทศจีนสั่งแบน ทำให้หุ้นของบริษัทร่วงลงมาอย่างรวดเร็วโดยเมื่อวันพุธราคาของหุ้น Apple ร่วงลงมากกว่า 4% ต่อด้วยวันพฤหัสบดีลงมาอีก 3%

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนมีนโยบายกีดกันการ ค้าซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองประเทศไม่ยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีของกันและกันนั่นเอง ซึ่งทางรัฐบาลจีนก็ได้ออกประกาศให้พนักงานที่ทำงานภายใต้รัฐบาลจีนห้ามใช้โทรศัพท์ iPhone ของ Apple ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้หุ้นของ Apple ร่วงลงมาโดยทันทีและที่สำคัญเลยก็คือตลาดจีนไม่ว่าจะเป็นประเทศไต้หวัน เมืองฮ่องกง และประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของ Apple ตีเป็นมูลค่า 18% ของยอดรายได้ 394 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ภาพ Pexels/Matcuz

นอกจากจะทำให้หุ้นร่วงแล้วการสั่งแบนในครั้งนียังทำให้ยอดขายของ Apple ลดลงอีก 5% ด้วย แถมถ้ารัฐบาลจีนมีการสั่งแบนอย่างต่อเนื่องทุก ๆ วันก็มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนใน ประเทศจีนส่วนใหญ่อาจจะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์รุ่นอื่นแทน iPhone ของ Apple ก็เป็นได้ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเปิดตัวโทรศัพท์ Huawei mate 60pro ซึ่งก็ได้ผลตอบรับจากประชาชนในประเทศจีนเป็นอย่างดีส่วนแบ่งของ Apple ก็อาจจะลดลงไปอีกในประเทศจีน

ภาพ Pexels/652234

อีกหนึ่งปัญหาที่ทาง Apple ก็ได้หาทางแก้ไขไปแล้วนั่นก็คือศูนย์กลางการผลิตส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ Apple มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่ประเทศจีนแต่ก็ได้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน เพื่อหาทางหนีทีไล่บริษัท Apple ก็เริ่มย้ายศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีไปที่ประเทศอินเดียแล้ว โดยจะตั้งโรงงานการผลิตในรัฐ Telangana โดยในช่วงเฟสแรกของการทำงานจะจ้างพนักงานจำนวนกว่า 25,000 คนย้ายฐานผลิตไปอินเดีย หลังจากที่ตั้งโรงงานแรกเสร็จสิ้นก็จะไปตั้งโรงงานอีกหนึ่งโรงงานในรัฐ Karnataka ซึ่งการย้ายฐานการผลิตมาครั้งนี้ก็เหมือนมาถูกที่ด้วยเช่นเดียวกันเพราะประเทศอินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มียอดการขายโทรศัพท์ iPhone ของ Apple สูงโดย 4% จากยอดขายทั้งหมดในไตรมาสที่ 2 ก็มาจากประเทศอินเดีย

ข้อมูลจาก CNBC Apple shares fall after reports that China banned iPhone use by government employees

CNBC India is now one of Apple’s top 5 iPhone markets for the first time

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

Google เปิดตัว Solar API ช่วยติดตั้งโซล่าเซลล์

พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ซึ่งปัจจุบัน หลาย ๆ ที่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าเซลล์ นอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วการใช้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ยังช่วยลดค่าไฟได้อีกด้วย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย จำเป็นที่จะต้องใช้ความชำนาญและหามุมที่ถูกต้องเพื่อสร้างพลังงานให้ได้มากที่สุด ซึ่ง Google ได้มีการพัฒนาโปรเจค Sunroof ช่วยในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เมื่อปีที่ผ่านมาและก็ได้ต่อยอดให้กลายเป็น Solar API

ภาพ Google map platform

Solar API เป็นเหมือนคลังข้อมูลในการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านโดยมันจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พื้นที่ของอาคาร, ขนาด และ ปริมาณของแสงอาทิตย์ รวมไปถึงข้อมูลโดยละเอียดเช่นขนาดและความลาดของหลังคา และผลิตภัณฑ์พลังงานจากระบบโซลาร์บนหลังคา ซึ่งข้อมูลจะย้อนหลัง 1 ปี โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเว็บไซต์ตลาดโซลาร์, ผู้ติดตั้งโซลาร์, นักพัฒนา SaaS, และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการติดตั้งโซลาร์

นอกจากจะช่วยให้การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เป็นเรื่องง่ายแล้ว Solar API ยังใช้ระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเหลือทำให้จะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการการติดตั้ง จุดคุ้มทุนที่ลงทุนเพื่อติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ อัตราการประหยัดพลังงาน ค่าไฟต่อปี และ อัตราการประหยัดพลังงานต่อปี เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่คำนวณให้หมดว่าคุ้มต่อการติดตั้งหรือไม่ ซึ่งระบบบางอย่างของ Solar API จะสามารถใช้งานได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ภาพ Google map platform

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยให้เป้าหมายของ Google ประสบความสำเร็จเนื่องจากทางบริษัทมีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 Google จะช่วยให้บุคคล, เมือง และลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้มากถึง 1 กิ๊กกะตันต่อปี ซึ่งการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้กลายเป็นมุดหมายสำคัญที่บริษัทใหญ่พยายามที่จะทำให้ได้ในอนาคตโดยการพยายามใช้พลังงานสะอาดหรือการรีไซเคิลมากขึ้นเพราะในตอนนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนที่แก้ได้ยาก

ข้อมูลจาก Google

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook 

Ernie จาก Baidu แชทบอท AI ตัวแรกของคนจีน

Ernie จาก Baidu แชทบอท AI ตัวแรกของคนจีน

นับตั้งแต่เทคโนโลยี AI เริ่มเป็นที่รู้จักเราได้เห็น Microsoft เป็นบริษัทแรกที่เปิดตัว ChatGPT หลังจากนั้นบริษัทที่ตามมาก็คือ Google ที่เปิดตัว Bard AI โดยแชทบอทเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากในการทำงานและอื่น ๆ อีกทั้งได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประเทศจีนซึ่งเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจของโลกและเป็นประเทศชาตินิยมก็คงจะไม่หยุดเฉยอย่างแน่นอน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีนก็ได้มีการพัฒนา AI เช่นเดียวกัน และก็ได้เปิดตัวมาแล้วในชื่อ Ernie ซึ่งเป็นแชทบอท AI ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Baidu ซึ่งมันก็เป็นแชทบอท AI ตัวแรกที่เปิดให้ใช้งานอย่างสาธารณะในประเทศจีน

ภาพ Pixabay/Alexandra_Koch

ทันทีทันใดที่เปิดให้ดาวน์โหลดบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Ernie ก็กลายเป็นแอปยอดนิยมโดยทำยอดดาวน์โหลดสูงสุดใน App Store ของประเทศจีน โดยก่อนที่จะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้ใช้ Ernie ได้ถูกใช้ในบริษัทใหญ่ๆ ตั้งแต่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากมียอดดาวน์โหลดถล่มทลายแล้ว แชทบอทตัวนี้ยังช่วยให้หุ้นของบริษัท Baidu ปรับตัวขึ้นถึง 3% ด้วยเช่นเดียวกัน

Ernie เป็นระบบแชท AI ที่รองรับข้อมูลกว่า 5.5 แสนล้านชุด โดยรองรับแค่ผู้ใช้งานในประเทศจีนเพียงเท่านั้น ภาษาที่รองรับก็คือภาษาจีนกลางและภาษาจีนของแต่ละภูมิภาค ซึ่งบุคคลทั่วไปที่ต้องการใช้งานไม่จำเป็นที่จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน ความสามารถของ Ernie สามารถทำได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลเกี่ยวกับนิยายจีน ให้ไอเดียเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ออกความเห็นการตั้งชื่อบริษัทและสโลแกนของบริษัท และยังสามารถเขียนจดหมายได้ด้วย ซึ่งความสามารถเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานเปิดตัว Baidu ERNIE Bot Press Conference ที่จัดขึ้นเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว

ภาพ Pexels/Sanket Mishra

การพัฒนาแชทบอท AI กฎระเบียบใหม่ที่ทางประเทศจีนนั้นเสนอขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเทคโนโลยี AI ของชาติตะวันตกไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Bard AI แต่ต้องได้รับการควบคุมข้อมูลอย่างเข้มงวดจากทางรัฐบาล ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเลยก็คือภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจะทำให้ Ernie นั้นสามารถพัฒนาไปได้ไกลมากแค่ไหน เพราะถ้าหากมองกลับไปทางฝั่งตะวันตกเทคโนโลยีแชทบอท AI ได้รับอิสระในด้านการพัฒนามากกว่า

ข้อมูลจาก CNBC , Blognone , Aljazeera

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

แนะนำ vivo Y35 ( 2022 ) มือถืองบ 10,000 ที่สายเซลฟี่ไม่ควรพลาด

แนะนำ vivo Y35 ( 2022 ) มือถือที่สายเซลฟี่ไม่ควรพลาด

หากใครรู้ตัวว่าเป็นสายเซลฟี่ ชอบถ่ายรูป ฟังทางนี้เลย วันนี้เรามี มือถืองบ 10,000 กล้องสวยน่าใช้งานมาแนะนำกันอีกเช่นเคย นั่นก็คือ vivo Y35 ( 2022 ) เหมาะสำหรับใครหลายคนที่กำลังมองหามือถือไว้ใช้งาน และมองเรื่องของกล้องเป็นอันดับแรก ซึ่งขอบอกเลยว่าตัวนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีเลยล่ะ เชื่อว่าตอนนี้หลายคนเริ่มสนใจกันแล้ว เพราะฉะนั้นตามมาเช็คสเปกพร้อมจุดเด่นที่น่าสนใจของมือถือ วีโว่ รุ่นนี้กันเลย

รายละเอียดสเปกของ vivo Y35 ( 2022 )

• มาพร้อมหน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.58 นิ้ว รีเฟรชเรต 90Hz ความละเอียด 1080 x 2404 pixels ( FHD+ )

• CPU Qualcomm Snapdragon 680

• RAM ขนาด 8 GB

• ให้หน่วยความจำมาขนาด 128 GB

• ให้กล้องหลังมา 3 ตัว โดยกล้องหลักให้ความละเอียดถึง 50 ล้านพิกเซล ( f/1.8 ) + กล้องมาโคร ที่ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ( f/2.4 ) และ กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ( f/2.4 )

• ในส่วนของกล้องหน้าขนาด 16 ล้านพิกเซล ( f/2.0 )

• มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh พร้อมมาตรฐานการชาร์จไว 44W FlashCharge

• ลำโพงแบบเดี่ยวอยู่บริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง

• มีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 188 กรัม

• วัสดุด้านหลังเป็นแบบพลาสติก

• มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ ( Agate Black ) และสีทอง ( Dawn Gold )

• มาพร้อมกับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง ( Fingerprint ( side-mounted )

• ระบบซอฟต์แวร์ FuntouchOS 12 ( Based on Android 11 )

• สำหรับราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยจะอยู่ที่ 8,999 บาท ถือเป็นหนึ่งใน มือถืองบ 10,000 ที่ทำออกได้น่าใช้งาน มีความเหมาะสมคุ้มค่า คุ้มราคามาก

จุดเด่นที่น่าสนใจของ vivo Y35 ( 2022 )

อย่างที่ได้เกริ่นไปตั้งแต่แรกว่า vivo Y35 ( 2022 ) รุ่นนี้ มีความโดดเด่นอย่างมากในเรื่องของกล้อง เพราะรุ่นนี้เค้าจัดเต็มกล้องหลักเน้นๆ โดยให้ความละเอียดมามากถึง 50 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องหน้าที่มีความละเอียดสูง 16 ล้านพิเซล แน่นอนว่าทำให้ถ่ายออกมาได้สวย สีสันคมชัด ตามสไตล์ของ vivo เลย

และอีกส่วนที่ทำออกมาได้ดีก็คือเรื่องของ Audio Booster ที่สามารถจะเพิ่มเสียงให้ดังได้ถึง 200 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับแบตเตอรี่ 5,000 mAh เรียกได้ว่าจุใจมากใช้งานได้แบบยาวๆ และยังมีการชาร์จไวมากด้วย vivo Flash Charge 44W โดยที่ทำการชาร์จแค่เพียง 34 นาที แต่ได้เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่มากถึง 70% เลยทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า vivo Y35 ( 2022 ) คือหนึ่งใน มือถืองบ 10,000 ที่คุ้มค่ากับราคาจ่าย แบบไม่น่าเสียดายเลย

ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแนะนำ vivo Y35 ( 2022 ) อีกหนึ่งมือถืองบ 10,000 ที่สายเซลฟี่ไม่ควรพลาดเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจ สำหรับคนที่กำลังมองหามือถือสเปกดี และเน้นเรื่องของกล้องเป็นหลัก เพราะแบรนด์นี้เค้าขึ้นชื่อเรื่องของกล้องสวยน่าใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นรับรองว่าใครได้ไปถือว่าคุ้มกับราคา 8,999 บาท อย่างแน่นอน

รูปภาพประกอบ : inet.detik.com

รูปภาพประกอบ : iphone-droid.net

รูปภาพประกอบ : lazada.co.th

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

แนะนำ Infinix Zero 5G สมาร์ทโฟนสุดล้ำ ในราคาไม่เกิน 10,000 บาท

แนะนำ Infinix Zero 5G สมาร์ทโฟนสุดล้ำ ในราคาไม่เกิน 10,000 บาท

สำหรับใครที่อยากได้มือถือรุ่นใหม่ในงบไม่เกิน 10,000 บาท ขอแนะนำให้รู้จักกับ Infinix Zero 5G สมาร์ทโฟนแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่กำลังมาแรงไม่เบาเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้ยินมาแว่วๆ ว่า สเปกดีสู้เครื่องรุ่นแพงๆ ได้เลยล่ะ เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงอยากรู้กันแล้วว่ามือถือรุ่นนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง หากพร้อมแล้วก็ตามมาเช็คข้อมูลกันได้เลย

คุณสมบัติเด่นของ Infinix Zero 5G

มาทำความรู้จักกับ สมาร์ทโฟน Infinix รุ่น Zero 5G เป็นมือถือแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน และตอนนี้ก็กำลังเป็นกระแสได้รับความสนใจไม่น้อยเลย ด้วยความพิเศษของมือถือรุ่นนี้ก็คือ มาพร้อมกับ CPU MediaTek Dimensity 1080 5G ที่ให้ความเร็วและแรงไหลลื่นปรี๊ดไม่มีสะดุด

ในส่วนของกล้องก็ทำออกมาได้ดี ไม่น้อยหน้าไปกว่ามือถือรุ่นอื่นที่ราคาแพงๆ เลย เพราะกล้องรุ่นนี้ให้ความละเอียดมาถึง 50 ล้านพิกเซล ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็สวยคมชัด พร้อมให้หน่วยความจำมา 256 GB เยอะจุใจจริง นอกจากนี้ก็มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh และยังแถมการชาร์จเร็ว 33W มาให้อีกด้วย สำหรับราคานี้บอกเลยว่าคุ้มค่ามากๆ

รายละเอียดสเปกของ Infinix Zero 5G

• หน้าจอแบบ IPS LCD ขนาด 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz ความละเอียด 1080 x 2460 pixels ( FHD+ )

• CPU MediaTek Dimensity 1080 และรองรับ 5G

• RAM ขนาด 8 GB

• หน่วยความจำขนาด 256 GB

• มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว

• กล้องหลักความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล ( f/1.6 )

• กล้องมาโครความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

• กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

• กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ( f/2.0 )

• มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh พร้อมมาตรฐานการชาร์จไว 33W Super Fast Charge

• ลำโพงแบบเดี่ยวบริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง

• น้ำหนักเบาเพียง 201 กรัม

• วัสดุบริเวณฝาหลังเป็นพลาสติก

• สำหรับ Infinix Zero 5G มี 3 สี ให้เลือก คือ สีดำ ( Submarine Black ) สีขาว ( Pearly White ) และสีส้ม ( Coral Orange )

• มีระบบเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือข้างๆ ตัวเครื่อง ( Side-Mounted Fingerprint )

• ระบบซอฟต์แวร์ XOS12 ( Based on Android 12 )

• ราคาวางจำหน่ายในประเทศไทย 9,499 บาท

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ Infinix Zero 5G สมาร์ทโฟนสุดล้ำ ในราคาไม่เกินงบ 10,000 บาท ที่เรานำมาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกันในวันนี้ เชื่อว่าจะต้องตอบโจทย์คนที่มีงบอย่างจำกัด และคนที่ชื่นชอบในฟีเจอร์ต่างๆ ของมือถือรุ่นนี้อย่างแน่นอน เอาเป็นว่าสำหรับใครที่ชอบก็สามารถไปหาซื้อกันได้ในราคาแค่ 9,499 บาทเท่านั้น ในราคานี้พร้อมคุณสมบัติเยอะขนาดนี้ก็ถือว่าน่าสนใจและคุ้มราคาสุดๆ ไปเลย

รูปภาพประกอบ : specphone.com/

รูปภาพประกอบ : speed.ph

รูปภาพประกอบ : digitalmore.co

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ตลาดสมาร์ทโฟนหดตัว คนเริ่มเมินซื้อรุ่นใหม่แต่ Apple ยังไปได้สวย

ตลาดสมาร์ทโฟนหดตัว คนเริ่มเมินซื้อรุ่นใหม่แต่ Apple ยังไปได้สวย

โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ติดตัวเรามามากกว่า 10 ปี ในทุก ๆ ปีบริษัทยักษ์ใหญ่ก็จะมีการพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาให้ใช้งานกัน ในช่วงแรกเทคโนโลยีของโทรศัพท์แต่ละรุ่นก็จะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้การซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทุกปีเป็นสิ่งจำเป็นของใครหลาย ๆ คน แต่ในระยะหลังสมาร์ทโฟนอกมาใหม่นั้น อาจจะมีเทคโนโลยีที่ไม่ได้แตกต่างกับสมาร์ทโฟนรุ่นเก่า ๆ มากนัก หรืออย่างน้อย ๆ ก็รุ่นก่อนหน้า 1 ปี ทำให้คนสนใจในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่น้อยลง เราจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนก็ต่อเมื่อโทรศัพท์ของเราเสีย หรือรู้สึกว่ามันตกรุ่นมากเกินไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนกดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด Counterpoint Research มีการคาดการณ์ไว้ว่าความต้องการโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะลดลงกว่า 6% แบบ YOY (Year on Year) ในปีนี้

ภาพ Pexels/ Niklas Jeromin

จากความต้องการสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ลดลงทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้ตกต่ำที่สุดในรอบ 1 ทศวรรษเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าความต้องการโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะลดลงแต่บริษัท Apple ก็ยังคงมาตรฐานได้ดีโดยยังมาเป็นผู้นำของตลาด และในเดือนกันยายนปีนี้ Apple ก็จะมีการเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 15 อีกด้วยมา ซึ่ง iPhone รุ่นนี้อาจจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ Apple แสดงว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในตลาดนี้อยู่ แต่ว่าล่าสุดบริษัท Apple ก็ดันไปแพ้คดีจนต้องเสียเงินเสียทองจากการกระทำแย่ ๆ ของบริษัทเอง

Apple แพ้คดี เตรียมจ่ายเงินให้ลูกค้าหลังจงใจลดประสิทธิภาพ iPhone รุ่นเก่า

ภาพ Pexels/Beyzaa Yurtkuran

แม้ว่าบริษัท Apple จะแสดงให้เห็นแล้วว่าปีนี้เขายังคงเป็นผู้นำของสมาร์ทโฟนแต่ว่าล่าสุดบริษัทก็ต้องขึ้นศาลเพื่อดำเนินคดีกับลูกค้าโดย บริษัท Apple ถูกฟ้องคดีจากลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์ iPhone รุ่นที่ผลิตก่อนปี 2018 ได้แก่

  • iPhone 6
  • iPhone 6 Plus
  • iPhone 6s
  • iPhone SE
  • iPhone 7
  • iPhone 7 Plus

โดยลูกค้าได้มีการฟ้อง Apple ว่า บริษัท Apple มีการจงใจทำให้โทรศัพท์รุ่นเก่าตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นทำงานช้าลงและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ลดลงหลังจากได้มีการอัพระบบปฏิบัติการ iOS (iOS 10.2.1 สำหรับ iPhone 6 และ iOS 11.2 สำหรับ iPhone 7) ซึ่งทางบริษัท Apple ก็ดันแพ้คดี ทำให้จำเป็นที่จะต้องควักเงินจำนวนกว่า 310 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐถึงประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจ่ายค่าเสียหายให้กับลูกค้าจำนวนกว่าล้านราย ซึ่งการกระทำนี้ของ Apple เป็นเหมือนการบังคับให้ลูกค้าเลิกใช้งานโทรศัพท์รุ่นเก่า และเปลี่ยนมาเป็นเครื่องรุ่นใหม่นั่นเอง

ข้อมูลจาก WatcherGuru , CNBC

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Nvidia เปิดตัวชิปใหม่เพิ่มขุมพลัง AI

Nvidia เปิดตัวชิปใหม่เพิ่มขุมพลัง AI

          เทคโนโลยี AI กำลังเป็นที่ถูกจับตามองจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลกอยู่ในตอนนี้เทคโนโลยี AI สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์รูปภาพและวิดีโอได้ แต่การประมวลผลในการสร้างภาพ AI จะต้องใช้กำลัง CPU และ GPU อย่างมาก ยิ่งภาพที่ต้องการสร้างมีความซับซ้อนมากเท่าใดก็ย่อมยิ่งใช้ชิปประมวลผลที่มีกำลังมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้ผลิตชิปประมวลผลจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้เทียบเท่ากับความซับซ้อนของภาพ AI ที่จะถูกสร้างขึ้น 

ภาพ   GH200/Nvidia

          Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ได้มีการเปิดตัว GH200 ที่เป็นซูเปอรืชิป โดยทาง Nvidia บอกว่า GH200 จะเป็นชิปที่สามารถออกแบบภาพ AI ที่มีความสร้างสรรค์และซับซ้อนมากที่สุด สามารถควบคุมแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ได้ รวมถึงมีการบรรจุระบบแนะนำและฐานข้อมูลเวกเตอร์ 

ภาพ  H100/Nvidia

          GH200 จะมีจำนวน GPU เท่ากับ H100 ที่เป็นชิปตัวปัจจุบันของ Nvidia แต่จะจะมีปริมาณความจุของหน่วยความจำมากกว่า 3 เท่า โดย GH200 จะเริ่มใช้งานในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 และยังไม่ได้เปิดเผยราคาของมันอย่างเป็นทางการ แต่ตัวชิป H100 ที่เป็นตัวปัจจุบันนั้นวางจำหน่ายอยู่ที่ราคา 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คาดเดาได้ว่า GH200 จะมีราคาที่แพงกว่าอย่างแน่นอน 

          ถึงแม้ว่าจะเปิดตัว GH200 เพื่อใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี AI แต่ Nvidia  ก็ต้องไม่ลืมว่ายังมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง AMD อยู่ด้วยและบริษัทคู่แข่งนี้มีกำหนดที่จะเปิดตัว AI GPU ในช่วง ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

          ในอนาคตเทคโนโลยี AI จะต้องมีบทบาทมากขึ้นแน่นอนและผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับ AI ก็จะกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า เพราะว่าในอนาคตอุปกรณ์เทคโนโลยีถูกสร้างขึ้นอาจจะต้องมีการพึ่งพาชิปจากบริษัทผู้พัฒนาชีวิตประมวลผล ดังนั้นใครก้าวก่อนก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  สำหรับ Nvidia  ก็เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทอย่าง Microsoft  ซึ่งพวกเขาต้องการชิป AI อย่างแน่นอน เพื่อพัฒนาโปรแกรมและฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มี การนำเทคโนโลยี AI เข้าไปใส่ไว้ในโปรแกรม Microsoft 365 ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Word, Microsoft Office และอื่น ๆ เพื่อเป็นผู้ช่วยในการทำงาน เช่นการทำสไลด์ Powerpoint, ทำตารางเก็บข้อมูลใน Excel  หรือช่วยพิมพ์ข้อมูลใน Microsoft Word  เป็นต้น

ข้อมูลจาก The Verge , Driodsans

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

Threads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้วThreads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้วThreads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว

Threads มีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาแล้ว

          Threads แอปพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท Meta ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นคู่แข่งของทวิตเตอร์ได้มีการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่เข้ามา ซึ่งได้ถูกเปิดเผยจากโพสต์ของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก  CEO ของบริษัท โดยมีฟีเจอร์ดังนี้

  • แชร์โพสต์ไปที่ Instagram 
  •  ทำ Alt Text  ในรูปภาพและวีดีโอ
  • กล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น

วิธีการใช้งานฟีเจอร์ใหม่

การแชร์โพสต์ไปที่ Instagram เมื่อผู้ใช้งานเข้าใช้ Threads ใต้โพสต์ของเราหรือคนที่เราติดตามจะมีรูปเครื่องบินกระดาษ เมื่อกดเข้าไปแล้วเราสามารถแชร์โพสต์นั้นๆไปที่ Instagram ได้ไม่ว่าจะเป็นกล่องข้อความ, แชร์ลงสตอรี่, โพสต์ไปยังหน้าฟีด และสามารถแชร์ไปที่ X ได้ด้วย ถ้าต้องการแบ่งปันไปยัง แอปอื่น ๆ ก็สามารถกดคัดลอกลิงค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพ Pexels/Julio Lopez

ทำ Alt Text  ในรูปภาพและวีดีโอ ในการทำ Alt Text บนรูปภาพและวีดีโอใน Threads ให้ผู้ใช้งานสร้างโพสต์ขึ้นมาและกดที่เครื่องหมายคลิปหนีบกระดาษหลังจากนั้นทำการแนบรูปภาพและวีดีโอ โดยบริเวณใต้รูปภาพที่เราได้แนบจะมีข้อความขึ้นมาว่า “Alt Text (ข้อความกำกับภาพ)” เมื่อเรากดเข้าไปเราสามารถพิมพ์ข้อความกำกับรูปภาพได้นั่นเอง 

การกล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น  เราสามารถกล่าวถึงผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ได้โดยการใช้เครื่องหมาย @ ตามด้วยชื่อ บัญชีของคนที่ถูกกล่าวถึง

ภาพ Pexels/Julio Lopez

          การอัพเดทครั้งนี้เหมือนเป็นการเพิ่มฟีเจอร์ที่มีอยู่ใน Instagram เข้ามาใน Threads ซึ่งฟิเจอร์เหล่านี้การอัพเดทที่มีประโยชน์แต่ก็ควรมีตั้งแต่แอปเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานยังคงรอการอัพเดทครั้งใหญ่อย่าง การใช้งานผ่านเว็บไซต์ และ ประสิทธิภาพการค้นหา ซึ่งในส่วนนี้มาร์คซัคเคอร์เบิร์กก็ยังบอกอีกด้วยว่าจะมีการอัพเดทให้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า 

          ถึงแม้ว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้าไปจะทำให้ Threads มีรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นแต่สิ่งสำคัญเลยก็คือตอนนี้ผู้ใช้งานเริ่มลดลงนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม Threads กลายเป็น สื่อสังคมออนไลน์ที่มีคนใช้งานถึง 100 ล้านคนได้รวดเร็วมากที่สุด แต่หลังจากนั้นความนิยมก็เริ่มลดลง ทำให้ปลายเดือนกรกฎาคมผู้ใช้งาน Threads ลดลงเกินกว่าครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด  ทำให้ตอนนี้ทาง CPO ของบริษัทให้พนักงานช่วยกันโฟกัสกับการที่ดึงคนกลับมาใช้งานให้ได้มากที่สุด ก็ต้องมาดูว่า Threads จะสามารถสู้กับ X ในระยะยาวได้หรือไม่

ข้อมูลจาก The Verge , BBC 

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์จะทำ X เป็น Trading Hub

อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัท X กำลังทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างแพลตฟอร์ม X ให้กลายเป็น Super App อย่างที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก Twitter เป็น X เขาก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้โดยตลอดว่าเขาต้องการทำให้ X เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านของการเงิน แอป X ในอนาคตอาจจะควบคุมการเงินโลกได้ ซึ่งล่าสุดเขาก็เดินหน้าตามแผนการดังกล่าวนั้นเริ่มต้นจากยื่นข้อเสนอกับบริษัทข้อมูลการเงินยักษ์ใหญ่ เพื่อพัฒนา Trading Hub ในX

ภาพ Pexels/Alesia Kozik

ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการรายงานจาก Semafor ว่า X ได้มีการยื่นข้อเสนอเพื่อพูดคุยกับบริษัทข้อมูลทางการเงินเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก X ต้องการข้อมูลการเงินและข้อมูลของตลาดหุ้นแบบ Real Time เพื่อพัฒนาให้ Trading Service ในแอป X อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าบริษัทไหนที่จะตอบรับข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เพื่อสร้างโปรเจคนี้ อีกหนึ่งเรื่องก็คือในข้อเสนอที่ทาง X ไม่ได้มีการพูดถึงค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีการถามถึงเงินลงทุนที่ทางบริษัทจะมาลงทุน ทำให้ในตอนนี้ยังไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีบริษัทไหนที่จะมาร่วมโปรเจคกับทาง X

ก่อนหน้านี้X ได้มีการนำข้อมูลทางการเงินเข้ามาในแพลตฟอร์มตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยได้มีการร่วมเป็น partner กับ Etoro ที่เป็นบริษัทการลงทุน ทำให้ผู้ใช้งาน X สามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นคริปโต, หุ้น และ อื่นๆ นอกจากสามารถดูทรัพย์สินต่างๆ อีลอน มัสก์ยังวางแผนที่จะทำระบบการชำระเงินด้วยเงิน Fiat บน X และในอนาคตอาจจะชำระเงินด้วยคริปโตได้ด้วยเช่นเดียวกันนำมาโดยเหรียญ Doge Coin

ภาพ X/Elon Musk

อีลอน มัสก์มีความฝันที่จะสร้าง Super App ที่ครบจบในแอปเดียวไม่ว่าจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ ซื้อของขายของ และอื่น ๆ เหมือนกับ WeChat ของประเทศจีน หรือ LINE ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของทั้งหมดคือการ รีแบรนด์จาก Twitter เป็น X และเขาก็ได้พูดแผนการคร่าวๆ ที่จะทำกับ X ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องดูว่าตัวเขาจะพัฒนาให้ X เป็นแอปที่สามารถควบคุมการเงินของโลกได้จริงหรือไม่ แล้วจะมีฟังก์ชันอื่นๆ เหมือนกับ WeChat หรือ LINE มากน้อยเพียงใด

ข้อมูลจาก Firstpost , Coinspeaker

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

สาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีแก้ไข

สาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีแก้ไข

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมมือถือของเรา แบตเตอรี่หมดเร็ว ทั้งๆ ที่มีการใช้งานน้อย หรือแทบไม่ได้ใช้งานเลยในวันๆ หนึ่ง ดังนั้นวันนี้เราจึงจะมาเผยถึงสาเหตุที่ทำให้มือถือของเราพลังงานลดลงเร็วแบบไม่รู้ตัว พร้อมกับวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด หากพร้อมแล้วก็ตามมาเช็คตัวการเหล่านี้กันเลย

1. เปิดใช้ 5G แบบไม่จำเป็น

เริ่มที่ปัจจัยแรกที่เป็นตัวการทำให้แบตเตอรี่มือถือหมดเร็วแบบไม่รู้ตัวนั่นก็คือ เทคโนโลยี 5G ที่หลายๆ คนอยากใช้งาน เนื่องจากความเร็วจะเกิดจากการจับสัญญาณแบบหลายความถี่รวมๆ กัน ส่งผลทำให้มือถือของเราทำงานหนักนั่นเอง

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ให้เลือกใช้งาน 5G แบบเหมาะสม เช่นในมือถือบางรุ่นอาจมีการปรับการทำงานให้เหมาะสมทำให้สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้

2. เปิดโปรแกรมอื่นๆ ค้างไว้

โปรแกรมในมือถือเราก็สามารถทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อโปรแกรมทำงานก็มีการแจ้งเตือนตลอดเวลา และมีการจองพื้นที่การทำงานของ CPU ส่งผลให้มีการนำไฟฟ้าไปหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดเวลา ทำให้ แบตเตอรี่หมดเร็ว ยิ่งขึ้น

วิธีแก้ปัญหาก็คือ หากไม่แน่ใจว่าได้เปิดโปรแกรมอะไรไว้บ้าง ขอแนะนำให้ทำการ Restart เครื่องทุกๆ เช้า สำหรับมือถือ Android แค่กดปุ่ม Recent Apps แล้วกดที่ปิดทั้งหมด แค่นี้ก็เป็นการประหยัดแบตเตอรี่ได้แล้ว

3. หน้าจอสว่างมาก

ความสว่างหน้าจอก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่มือถือหมดเร็ว หลายๆ คนชอบใช้งานมือถือในกลางแจ้ง ส่งผลให้หน้าจอเร่งความสว่างไปที่ระดับสูงสุด หรือบางครั้งอาจปรับหน้าจอให้เกิดความสว่างระดับสุด ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้เครื่องร้อนง่ายและเป็นการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้มือถือแบตเตอรี่หมดไวในที่สุด

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ปรับความสว่างให้เหมาะสม หรือ จะเปิดความสว่างแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ระบบช่วยปรับความสว่างให้ จะได้ไม่เปลืองพลังงาน

4. โหมดการใช้พลังงานไม่เหมาะสม

สำหรับการใช้พลังงานมือถือบางเครื่องอาจมีให้เลือกหลายโหมด และอาจมีโหมดเปิดใช้พลังงานแบบบ้าคลั่งด้วยเช่นเดียวกัน วิธีแก้ปัญหาก็คือ เราต้องเลือกใช้โหมดพลังงานที่เหมาะสม หากต้องการให้แบตเตอรี่อยู่ได้ยาวนานทั้งวัน ก็สามารถเลือกใช้โหมดประหยัดพลังงานได้ โดยถ้าเป็นใน iPhone สามารถทำการเลือกโหมด Low Power ได้

5. อัตราความเคลื่อนไหวมากเกินไป

เนื่องจากมือถือในสมัยนี้มีความสามารถในการแสดงผลของหน้าจออย่างรวดเร็ว หรือเรียกอีกอย่างว่าค่า Refresh Rate สูง ซึ่งการใช้ค่า Refresh Rate ที่สูงตลอดเวลาในทุกๆ แอปพลิเคชั่นก็ส่งผลให้ แบตเตอรี่หมดเร็ว ได้

วิธีแก้ปัญหาก็คือ ให้เลือกใช้ค่า Refresh Rate ที่เหมาะสม โดยสำหรับมือถือบางรุ่นนั้นจะมีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Adaptive Refresh Rate ซึ่งจะเป็นระบบแปลผันการทำงานอัตโนมัติ ที่จะมาช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ระดับหนึ่ง

และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้มือถือ แบตเตอรี่หมดเร็ว พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เมื่อเราเข้าใจถึงสาเหตุอย่างถ่องแท้แล้วก็จะทำให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหมดปัญหามากวนใจ เพราะฉะนั้นหากใครกำลังเจอกับปัญหานี้กันอยู่ ก็อย่าลืมนำเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปใช้กันดูนะ

รูปภาพประกอบ : sanook.com

รูปภาพประกอบ : flashfly.net

รูปภาพประกอบ : men.kapook.com

เวปไซด์ getup-it.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook